หัวสี่เหลี่ยม?

สำนวน "หัวสี่เหลี่ยม" หรือ "ซี้ปังเท้า" ใช้เรียกคนที่คิดหรือทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่ยืดหยุ่น เถรตรง ทำตามสั่ง ทำแบบเดิมๆ ไม่ยอมฟังคำแนะนำจากใคร ไม่เสี่ยงที่จะเชื่อใคร คิดนอกกรอบไม่เป็น อาจจะไม่โง่ แต่ " ฉลาดแต่ไม่เฉลียว" อาจจะ เรียนเก่ง ปริญญาสูง ตำแหน่งสูง ร่ำรวย แต่ไม่พลิกแพลง หรือปรับใช้ตามสถานการณ์ ถ้าคนที่อยู่ด้วยเป็นหัวหน้า จะปวดหัวและต้องคอยติดตามควบคุมเมื่อมอบหมายงานไป ปล่อยไม่ได้ เพราะอาจสร้างปัญหาขึ้นได้ และหากเป็นลูกน้องของคนหัวสี่เหลี่ยม จะมองว่าเป็นหัวหน้าหัวโบราณ ไม่ยอมปรับเปลี่ยนกับโลกที่เปลี่ยนไป ยึดติดความคิดเก่าๆ วิธีการกับความสำเร็จเดิมๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ดูเหมือนว่า พฤติกรรมความคิดแบบหัวสี่เหลี่ยมจะพูดถึงในเชิงลบมากกว่า
มีใครสงสัยไหม๊ว่า คำว่า "เถรตรง" มาจากไหน เถร ใช้เรียก "พระ" และสมัยก่อน ชาวบ้านเรียกพระที่มีความประพฤตินอกรีตนอกรอยว่า "ตาเถร" ส่วนคำว่า "เถรตรง" คำนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีตาเถรตนหนึ่งเป็นคนตรงมาก ตั้งใจจะเดินเป็นเส้นตรงไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยไม่ยอมเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางใดๆ เมื่อเดินมาเจอต้นตาลต้นหนึ่งก็ตั้งหน้าตั้งตาปีนข้ามไป พอปีนถึงยอดตาลก็กลัวความสูงขึ้นมาร้องเรียกให้คนช่วย พอดีมีคนหัวล้านสี่คนผ่านมา ก็เข้าช่วยด้วยการดึงขึงผ้าขาวม้าคนละมุมเพื่อให้ตาเถรโดดลงมา แต่ว่าตาเถรคงจะอ้วนไปหน่อย น้ำหนักตัวที่มากทำให้คนหัวล้านทั้งสี่ หัวโขกกระแทกกันจนมอดม้วยมรณัง ดังนั้น ความคิดเถรตรงจึงหมายถึง ความคิดที่ซื่อตรงหรือตรงไปตรงมามากจนเกินไป จนขาดไหวพริบ ไม่รู้จักการผ่อนปรนหรือผ่อนหนักผ่อนเบา คนที่มีความคิดแบบนี้มักจะยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือแบบแผนมากเกินไปจนไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้
เจอแม่ค้าร้านอาหารตามสั่งอยู่ร้านหนึ่ง เวลาลูกค้ามาสั่ง ต้องให้จดรายการสั่งลงบนกระดาษเปล่าไปเสียบให้ทำตามคิว บางทีลูกค้าเขาสั่งแค่รายการเดียว(กระเพราหมูสับราดข้าว) ซึ่งในขณะนั้น ไม่มีออเดอร์ ไม่มีลูกค้าเลย แม่ค้ายืนเฉย ก็ต้องจดลงกระดาษ ราวกับว่า ถ้าไม่จด ระบบจะไม่รัน หรือมีร้านกาแฟร้านหนึ่งติดป้ายเมนูหลายรายการให้ลูกสั่ง แต่พอลูกค้าแจ้งพนักงานขอเพิ่มช็อตกาแฟให้เข้มขึ้น พนักงานบอกว่าไม่มีในเมนู ทำให้ไม่ได้ ผมเคยมีลูกน้องคนหนึ่ง มอบหมายให้ไปแก้ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูกค้าอีกแผนก ที่ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ พองานเสร็จแล้ว ลูกน้องปิดงานตามปกติ แต่พออ่านรายงาน Service Report ก็แปลกใจ ที่เขียนว่า ได้แก้ปัญหาระบบงานให้สามารถเข้าใช้งานได้ แต่ยังมีปัญหา เรื่องการตรวจเช็คไวรัส การเคลียร์ข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ออกจากเครื่อง การตั้งค่าการใช้งานบนระบบอินเทอร์เน็ตยังมีปัญหา อุปกรณ์ Port ชำรุด และอุปกรณ์แปลงกระแสไฟ(Adapter)ชำรุด เราก็ไม่กล้าจะต่อว่าเขา เพราะเรามอบหมายให้ไปแก้ปัญหาการเข้าใช้งานในระบบงานไม่ได้ เขาก็แก้แล้วตามที่เรามอบหมาย เพียงแต่เขาไม่ได้ทำให้นอกเหนืองจากสิ่งที่เจอที่หน้างาน ซึ่งปัญหาก็ยังคงอยู่ จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นว่า ทำไมในบางองค์กรจึงต้องมีตำแหน่ง หัวหน้า รองหัวหน้า ผู้ช่วย ซึ่งเป็นระบบเดิมๆ และมักอ้างว่าเป็นการกระจายอำนาจ ให้ควบคุมดูแลคนทำงานให้มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ในปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้ในบางบริษัทที่ยังยึดวิธีการทำงานแบบดั่งเดิม มีการจัดผังองค์กรแบบเดิมๆ คือมีลำดับขั้นของอำนาจและการรายงานผล แต่ก็มีหลายบริษัทที่ปรับเปลี่ยนการจัดองค์กรเป็นแบบ Flat organization เป็นรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กรที่มีระดับการบริหารจัดการระหว่างพนักงานและผู้บริหารน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ทำให้การสื่อสารและตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากพนักงานสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้โดยตรง โดยไม่ผ่านผู้จัดการระดับกลางหลายระดับ ลดขั้นตอนการบังคับ และก็มีบางบริษัทนำแนวคิดการทำงานแบบ Agile หรือ อไจล์ คือการทำงานที่รวดเร็ว เน้นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าขั้นตอน ด้วยการนำพนักงานจาก Function ต่าง ๆ มาทำงานร่วมกัน แบบทีมเล็ก ๆ แล้วทำการ Sprint off ออกมา (Cross-functional Team) โดยไม่สนว่าใครอยู่แผนกไหน อยู่ส่วนไหนก็ร่วมทีมกันได้หมด เน้นการรับผิดชอบเฉพาะโครงการเล็ก ๆ หรืองานที่กำหนดเป้าหมายระยะสั้นเป็นหลัก เพื่อให้จบงานได้ไวขึ้น ไม่ว่าจะจัดแบบไหน ผมว่ารากปัญหาที่แท้จริง มาจากประสิทธิภาพของคนทำงานมากกว่า เพราะถึงแม้จัดองค์กรแบบใหม่แล้ว หากพนักงานยังหัวสี่เหลี่ยม ก็จะสร้างปัญหาให้ได้ปวดหัวกันต่อไป
ในหลายปีที่ผ่านมา ช่วงที่มีการนำระบบเทคโนโลยี่มาติดตั้งเพื่อทำงานแทนพนักงานรับบัตรเข้าลานจอดรถ ตามห้าง ตามคอนโด หรือพื้นที่เอกชน โดยมีวัตถุประสงค์จะลดพนักงานนั่งประจำป้อม(ที่ต้องจ่ายค่าจ้างประจำ โดยนำเงินค่าจ้างมาจ่ายซื้อระบบมาลงใช้งาน จะคุ้มกว่าในระยะยาว ) และเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดจากการทำงานของมนุษย์ หลังจากติดตั้งอุปกรณ์สแกนบัตร จ่ายบัตรหรือสลิปเข้าพื้นที่จอดรถ ในช่วงแรกๆนั้น มีหลายที่จัดพนักงานมานั่งกดปุ่ม เพื่อจ่ายบัตรหรือใบจอดรถที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องให้กับผู้ขับขี่ สำหรับใช้จ่ายเงินตอนขาออก ก็เข้าใจว่า อาจไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงระบบ หรืออาจมีผู้ขับขี่ที่สูงอายุ จึงอยากจะอำนวยความสะดวกให้ เพราะจะส่งผลต่อการต่อคิวของรถ อันนี้เข้าใจครับ แต่ก็มีหลายที่ๆ ยังมีการจัดคนมากดปุ่มให้ ทั้งๆที่ติดตั้งใช้งานไปหลายเดือนไปแล้ว เหมือนสร้างการทำงานแบบซ้ำซ้อน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำไม่ได้คือ ชำระเงินตอนออกจากพื้นที่ ก็ยังจำเป็นต้องใช้คนรับเงิน ทอนเงินค่าจอด เป็นเรื่องที่ระบบยังไม่รองรับ เพราะสังคมบ้านเรายังต้องมีพฤติกรรมใช้จ่ายด้วยเงินสดอยู่ รวมทั้งยังติดปัญหาหลายประการในการจ่ายเงิน ซึ่งต้องใช้คนเพื่อจัดการ ผมจะยกตัวเอย่างเพื่ออธิบายให้เห็นภาพชัดเจน เวลาที่เราขับรถเพื่อเข้าจอดในพื้นที่ๆมีการตีช่องจอดที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเข้าหรือออกช่องที่กำนด หากเราเป็นคนมีทักษะในการขับรถที่ดี เราก็จะรำคาญ ที่จะมีคนมาโบกให้จอด หรือให้ถอย และมองว่า คนที่มาโบกจะเป็นภาระให้เรารู้สึกเกะกะ และรู้สึกว่าใช้คนเปลือง เอาคนพวกนี้ไปโบกรถตอนออกถนนใหญ่น่าจะมีประโยชน์กว่า แต่หากเป็นคนที่พึ่งขับรถ หรือมีทักษะในการขับรถที่ไม่เก่งนัก ก็ต้องการที่จะมีคนมาอำนวยความสะดวกให้ เหมือนมีเครื่องเตือนเวลาเข้าจอดหรือถอยออก ก็จะมองว่าคนโบกรถมีผลประโยชน์ต่อเขามาก ที่เล่ามาเพียงเพื่อจะบอกว่า มันอยู่ที่ตัวคนว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร หากเป็นคนที่มีวินัย ทำตามและเคารพกฏของสาธารณะ ก็สามารถปล่อยให้มีการใช้ชีวิตตามแบบที่กำหนดได้โดยไม่ต้องพึ่งใครมาช่วย แต่หากสังคมยังมีคนที่มีนิสัย ไม่เคารพกฏระเบียบ เขาให้จอดตรงกลางของช่อง แต่ก็ดันไปจอดชิด หรือเบียดช่องอื่นให้ลำบากในการเข้าจอด ก็จำเป็นต้องมีคนมาโบกและควบคุมการจอด มันอยู่ที่คุณภาพของคนครับ ที่เขาจัดคนมาดูแลก็เพราะไม่ได้ทำตามที่กำหนด เหมือนเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น คนไทยส่วนใหญ่จะชอบที่เขามีระเบียบวินัยที่ชัดเจน ไม่มีขยะกองในที่สาธารณะ ทุกคนเก็บกวาดพื้นที่ให้น่าอยู่ เคารพซึ่งกันและกัน พฤติกรรมการใช้รถ ใช้ถนน ถูกสร้างในสันดานตั้งแต่เด็ก ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ กลับมามองแถวบ้าน(ผม) สวนริมคลองประปา ตอนเย็นเต็มไปด้วยผู้คนมานั่งกินเบียร์ กินเหล้าในที่สาธารณะ(ผิดกฏหมาย) กินเสร็จก็ทิ้งขวด ทิ้งถุงอาหาร กองโตบนทางเดิน ที่บางคนใช้วิ่งออกกำลังกาย ทั้งที่ติดตั้งป้ายไว้ ว่าห้ามทิ้งขยะ มีโทษปรับ ...... มันอยู่ที่สันดาน หรือพฤติกรรมที่ถูกสร้างให้เติบโตมา คนที่ทำก็ยังไม่รู้ตัวว่าผิด คนที่เห็นว่าผิดก็ไม่อย่ามีเรื่อง ก็ทำใจให้ยอมรับที่จะอยู่กับคนที่มีสันดานที่ยากจะแก้ ซึ่งพฤติกรรมของคนพวกนี้ไม่ได้เรียกว่า "หัวสี่เหลี่ยม" นะครับ ผมเรียกว่า "Toxic people" แย่ยิ่งกว่าพวกหัวสี่เหลี่ยม
เป็นเรื่องจริงมาเล่าให้ฟังว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมภายใน ไปซื้อของจัดเตรียมงาน เพื่อทำบุญบริษัท โดยต้องจัดเตรียมอาหารเพื่อถวายเพลพระ และเลี้ยงแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน พนักงานหวังดี ซื้อผลไม้(เงาะ,แตงโม,ส้ม,สับปะรด,กล้วย,มะละกอ....) กับแม่ค้ารถกระบะขายผลไม้เจ้าประจำที่ผ่านหน้าบริษัท เพราะเห็นว่าราคาถูกกว่าซื้อตามร้านหรือในห้างฯช่วยประหยัดเงินให้กับบริษัท เมื่อเสร็จสิ้นงาน ได้ส่งเอกสารเคลียร์เงินเบิกจ่ายกับฝ่ายบัญชี ปรากฏว่า ฝ่ายบัญชีแจ้งว่า ต้องมีใบเสร็จการซื้อผลไม้ เพื่อนำมาประกอบการเบิกจ่าย เนื่องจากได้จ่ายเงินซื้อของไปแล้ว และรถขายผลไม้ ก็คงไม่มีที่ไหนออกใบเสร็จให้ พนักงานบัญชีหัวสี่เหลี่ยม จึงแจ้งให้ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของแม่ค้าผู้ขาย พร้อมระบุว่าซื้อผลไม่รายการอะไรบ้าง และให้เซ็นต์ชื่อรับรองเพื่อเป็นหลักฐาน ในวันต่อมา พนักงานจึงดักรอรถขายผลไม้ และแจ้งขอให้สำเนาเอกสารบัตรประชาชน แม่ค้าบอกว่า จะให้ฉันลงรถที่กำลังขายของอยู่ไปถ่ายสำเนามาให้ได้ยังไง ถ่ายรูปไปได้ไหม็ พนักงานลำบากใจ จึงได้แต่ถ่ายรูปบัตร มาส่งฝ่ายบัญชี ซึ่งก็ไม่ยอม จะเอาสำเนาจากบัตรให้ได้ ยิ่งสร้างความลำบากใจให้กับพนักงาน เรื่องนี้ไปถึงหูผู้บริหาร จึงเรียกฝ่ายบัญชีหัวสี่เหลี่ยมมาคุย และอธิบายว่า การใช้หลักฐานในการประกอบการจัดซื้อมีวัตถุประสงค์เพื่อดูเจตนาของคนเบิก และให้แสดงหลักฐานการซื้อจริง เพื่อป้องกันการทุจริต แต่บางรายการที่ยากต่อการขอใบเสร็จ และเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูง เช่น การซื้อดอกไม้ พวงมาลัยมาไหว้พระ การซื้อไม้กวาดทางมะพร้าวมาใช้ กับร้านที่ไม่มีในระบบภาษี และไม่มีการออกบิลเงินสดให้ ก็ควรใช้ดุลยพินิจพิจารณา อาจใช้รูปภาพของที่ซื้อมาเพื่อใช้พิจารณาได้ ควรช่วยกันส่งเสริมการทำงาน ไม่ควรสร้างความลำบากใจให้กับคนทำงาน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจในเรื่องที่จำเป็นต้องทำตามกฏระเบียบของฝ่ายบัญชี และขอความร่วมมือให้ซื้อของกับร้านที่มีใบเสร็จเป็นหลักฐานน่าจะดีกว่า แต่ต้องยอมรับเรื่องราคาที่แพงกว่า ในกรณีนี้ผู้บริหารจึงเซ็นต์รับรองการซื้อให้กับพนักงาน เพื่อให้เรื่องการเบิกผ่านพ้นไป กับการทำงานร่วมกับคนหัวสี่เหลี่ยม
สมัยทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง หัวหน้าได้มอบหมายให้เตรียมนำเสนอการศึกษาเบื้องต้น (Preliminary Study)โครงงานบริการรูปแบบใหม่ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โดยกำหนดเวลานำเสนอเพียง 10 นาที ในสมัยนั้นยังไม่มี Notebook หรือเครื่อง Projector รวมถึงโปรแกรมช่วยทำที่สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบันนี้ ไม่รวมตัวช่วย AI ในยุคนั้นมีเพียงโปรแกรม MS word และ Excel เวลาจะเตรียมงาน ต้องคีย์ข้อมูลลงในโปรแกรม แล้วนำไปพิมพ์ผ่านแผ่นใส่ขนาดกระดาษ A4 เป็นขาวดำ เวลาในใช้นำเสนอ ก็วางแผ่นใส(ปิ้ง)บนเครื่องฉาย Overhead Projector เพื่อให้แสงส่องผ่านไปขึ้นบนจอ เหมือนฉายหนัง บางทีก็มีผู้ช่วยเปลี่ยนแผ่น บางทีต้องพูดไป เปลี่ยนแผ่นไป สมัยนั้นไม่มีระบบรีโมท ไม่มีเทคโนโลยี่ใดๆ ไม่สะดวกสบายหรือเหมือนเด็กในสมัยนี้ ถือ notebook หรือ Ipad เครื่องเดียวก็พูดได้แล้ว การเตรียมแผ่นใส่จึงจำเป็นต้องเตรียมหลายแผ่น โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 3 ส่วนได้แก่ (1)ส่วนของที่มาที่ไป วัตถุประสงค์ของโครงการ ขอบเขตของงาน (2) เนื้อหา ดูตัวเลขที่เก็บมา ผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์ ปัญหา อุปสรรค (3) พิจารณาตัดสินใจ และ Next process คร่าวๆประมาณนี้ และต้อง Running หน้าให้ถูกต้อง โดยต้องวางแผนว่า ในเวลา 10 นาที เราจะพูดได้กี่แผ่นใส เช่นหากเราเตรียมแผ่นใส่ 20 แผ่น นั่นคือใน 1 นาที เราต้องพูดให้จบ 2 แผ่น ซึ่งในความเป็นจริง เราต้องแบ่งเวลา 3 นาทีในช่วงท้ายเพื่อถามตอบ ดังนั้นเราจะมีเวลานำเสนอจริงๆ แค่7นาที นั่นคือต้องพูดให้เสร็จ 3 แผ่นภายในเวลา 1 นาที เป็นงานท้าทายของคนนำเสนออย่างยิ่ง งานนี้ผมเตรียมข้อมูลไว้ 20 แผ่นคัดเฉพาะตารางข้อมูลตัวเลขที่สำคัญ จำบรรยากาศวันนั้นได้ว่า ไปนั่งรอเรียกหน้าห้องประชุมก่อนครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลา เลขาฯที่ประชุมก็ยังไม่มาเรียก เพราะผู้นำเสนอก่อนหน้ากินเวลาเลยไป 10 นาที สักพักหัวหน้าก็ออกมาจากห้องประชุม แล้วบอกว่า มีเวลานำเสนอแค่ 7 นาที เพราะคณะกรรมการมีภาระกิจต้องไปทำ จะให้ขอเลื่อน หรือจะนำเสนอเลย ในตอนนั้นไม่คิดอะไรเลือกที่จะนำเสนอ โดยคัดเลือกแผ่นใสมา 5 แผ่น กะไปด้นสดเอา และก็ผ่านไปได้ด้วยดี เป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ว่า ทุกการทำงานต้องมีการเตรียมแผนฉุกเฉิน ต้องมีแผนสอง และอย่าไว้ใจอะไร ทุกสิ่งมีเซอร์ไพรส์ได้ตลอด ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องเป็นมนุษย์ที่ไวต่อการปรับตัว ยืนหยุ่นได้ตลอดเวลา อย่าหัวสี่เหลี่ยม เพราะโอกาสไม่ได้มีเสมอ การปรับตัวเราสำคัญกว่าการทิ้งโอกาสไป
เคยจ้างชาวพม่ามาทำความสะอาดที่บ้าน มีอยู่วันหนึ่งเราเห็นว่าข้างบ้านมีหญ้าและต้นไม้ที่ไม่ได้ปลูกโผล่ขึ้นมาจากดิน จึงบอกให้เด็กพม่า เมื่อเสร็จงานในบ้านแล้ว ให้ออกไปตัดต้นไม้รกๆข้างบ้านออกให้หมด และเราก็ขับรถออกไปซื้อของที่โลตัสแถวบ้าน ฝากบ้านให้เขาดูแล พอเสร็จจากการซื้อของ ก็รีบกลับเข้าบ้าน เจอพม่านั่งยิ้ม กินน้ำเย็นสบาย งานเสร็จ เราก็เดินไปตรวจงาน แทบช็อค เธอตัดตันกล้วย(ดอก) ต้นโมก ต้นจั้งจีนกอใหญ่ ที่ลงไว้ข้างบ้านมาหลายปี ถูกตัดจนโล่งเตียน .... สตั้นจนพูดไม่ออก "เหมิดคำสิเว่า" ตรูสั่งผิด หรือมึงหัวสี่เหลี่ยม ..เป็นความคิดที่มีในตอนนั้น
จำได้ว่าตอนนั้นระบบนำทาง GPS (Global Positioning System) เข้ามาใหม่ๆ รถต้องติดเพื่อไว้ใช้นำเส้นทางให้ขับขี่ได้สะดวก คงเป็นเพราะผมมีความเก็บกดที่เกิดจากเวลาไปเที่ยวไหน ต้องอาศัยดูแผ่นแผนที่ในขณะที่ขับรถ ซึ่งยากลำบาก และก็ทำให้ขับหลงทางมาตลอด พอมีระบบ GPS มา ก็รีบไปติดตั้งเลย ช่วงนั้นระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม ก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนทุกวันนี้ อีกทั้งการกำหนดแผนที่ เส้นทาง ถนน ทางด่วน ลงในระบบที่ใช้ก็ยังไม่มีรายละเอียดมาก คนที่ใช้ช่วงแรกๆจะเข้าใจอย่างยิ่ง เวลาขับรถไปต่างจังหวัด ที่หวังให้ GPS พาไป ถ้าเป็นกลางวันยังไม่เท่าไหร่ ถ้าเป็นช่วงกลางคืนต้องทำใจ ยิ่งเราไม่เคยไปจังหวัดนั้นเลย ก็จะไม่รู้หมายเลขเส้นทางหลัก ว่าต้องใช้ทางหลวงหมายเลขเท่าไหร่ การเชื่ออุปกรณ์คือความหวังเดียว จากผู้ท่องเที่ยวอาจกลายเป็นผู้ประสบภัยได้ และเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้แหล่ะ ทำให้มีคนเอาประสบการณ์ไปเล่าในรายการเดอะโกสหลายคน ผมจะเล่าสองเรื่องให้ฟังจากประสบการณ์จริง เรื่องแรก เมื่อหลายสิบปี อยากไปไหว้พระที่วัดศาลากุน ไม่รู้ว่าอยู่แถวไหน มีข้อมูลเบื้องต้นว่าอยู่แถวปากเกร็ด และช่วงนั้นกำลังหาเครื่องราง ซึ่งหนุมานของหลวงพ่อสุน วัดศาลากุล มีชื่อเสียงมาก จึงตั้งเป้าหมายไปที่ วัดศาลากุน แล้วก็ขับตามเครื่องบอก ง่ายมาก ระบบนำทางจากจุดเริ่มต้นที่ถนนประชาชื่น พาไปถนนแจ้งวัฒนะ ไปทางปากเกร็ด และข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปถนนราชพฤกษ์ จำได้ว่าเป็นทางเดียวกันกับทางไปวัดสะพานสูง เข้าถนนราชพฤกษ์ผ่านหลายหมู่บ้าน แล้วก็พาเข้าซอย ผ่านสวน ทางเปลี่ยวๆ ไปอีกหลายกิโล ก็รู้สึกว่า ทำไมมันต้องขับไกล เพราะความเชื่อใจในอุปกรณ์ ก็ต้องจำใจขับตามที่บอก แล้วก็มาถึงท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา มองรอบๆบริเวณเป็นต้นไม้ที่เป็นป่ารกชัฏ รอบข้างเป็นสวนกล้วย มีป้ายเล็กๆเขียนบอกทางไป "วัดท่าอิฐ" และ "วัดเชิงเลน" เสียงจากระบบแจ้งว่า ถึงจุดปลายทางอยู่ด้านหน้า ความงง ก็มาถึง มองออกไปมีแต่ป่า ความคิดดังออกมาว่า มึงพาตรูมาที่ไหนเนี้ย ตัดสินใจจอดรถลงไปดูท่าน้ำ มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นศาลาวัดเด่นชัด โถเอ๋ย ใจมันกะจะให้ขับรถข้ามแม่น้ำเข้าวัดเลย จริงๆแล้ววัดศาลากุน ตั้งอยู่บนเกาะเกร็ด เพียงนำรถไปจอดที่ปากเกร็ดแล้วขึ้นเรือข้ามฝากก็ถึงแล้ว แต่ GPS พาล้อมหลายสิบกิโล มาอีกฝั่งตรงข้ามวัด ตกลงวันนั้นก็ไม่ได้ไปวัด วิเคราะห์แล้วคิดว่า ระบบน่าจะหัวสี่เหลี่ยม คงหาเส้นทางที่เป็นทางรถยนต์วิ่งไปใกล้วัดที่สุด และหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยเส้นทางเรือที่ปากเกร็ด จากบทเรียนครั้งนี้ ทำให้ไม่ไว้ใจระบบเลย เรื่องที่สอง ในช่วงที่ต้องไปติดต่องานแถว อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา กว่าจะเสร็จงาน ก็ปาไปเกือบสองทุ่ม ฝนก็กำลังจะตก ฟ้าครื้มๆ เนื่องจากดึกแล้ว และอีกวันก็ต้องมาทำงานต่อที่ อ.พนมสารคาม จึงกะว่าจะไปนอนพักที่โรงแรมแถวจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดอยู่ติดกัน คิดตอนนั้นว่าขับรถแป็บเดียวก็ถึง จึงตั้งปลายทางเป็นตัวเมืองปราจีนบุรี ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ไม่หนักมาก จำได้ว่า GPS นำทางผ่าน อ.ราชสาสน์ ผ่าน อ.ศรีมหาโพธิ์ .. พาขับทะลุหมู่บ้านที่ไม่รู้จัก และแถวนั้นมีแต่เมืองโบราณ ตอนนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว และเจ้าเครื่อง GPS ก็ดันค้าง คงเป็นเพราะสภาพอากาศไม่ดี ระบบสัญญาณผ่านดาวเทียมจึงมีปัญหา ขับรถคนเดียวก็ไม่มีเวลา หยิบมือถือมาตั้ง Google Map ลองคิดดู ขับรถคนเดียวตอนเกือบสามทุ่ม ฝากชีวิตไว้กับ GPS ซึ่งก็พาเข้าถนนในหมู่บ้าน(จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) ซึ่งระบบน่าจะคำนวณทางลัดให้ หรือระบบแปรปรวนจากสภาพอากาศก็ไม่รู้ จากถนนหลัก ให้ขับผ่านเข้าถนนในหมู่บ้าน บางช่วงเป็นลูกรัง บางช่วงข้างทางมองไปเป็นทุ่งนา ไม่มีไฟข้างถนน บ้านคนก็ยังไม่เห็น แถมเป็นคืนที่ไม่มีแสงจันทร์ รถสวนมาก็ไม่มีสักคัน ตอนนั้นภาวนาให้เห็นถนนหลวงก็พอ รู้สึกแปลกๆ บรรยากาศยังกะที่เคยฟังในรายการผีเลย ได้แต่คิดว่าอย่าให้มีอะไรโผล่มาที่ถนนน่ะ เหมือนกำลังอยู่ในอีกมิติ มีอยู่ช่วงหนึ่งฝนตก ฟ้าร้อง มองไปข้างหน้าก็มืด ไม่มีแสงไฟใดๆ ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่เป็นเหมือนป่า ลมก็พัดไปมา มีเพียงแสงไฟหน้ารถที่นำทางเท่านั้น รู้สึกเหมือน GPS พามาหลงทาง ความคิดตอนนั้นมีสองทางเลือกคือ กลับรถขับไปตั้งหลักใหม่หรือเข้ากรุงเทพเลย กับ มุ่งไปข้างหน้า มันต้องเจอถนนหลัก และก็ได้เลือกทางเลือกที่สอง ขับไปกับความกล้าที่มีอยู่ จนมาถึงถนนทางหลวง เห็นไฟจากรถวิ่ง ก็โล่งอก และมีป้ายบอกทางไปปราจีนบุรี ตอนนั้นไม่ดู GPS แล้ว ดูทางเอง กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบห้าทุ่ม เป็นบทเรียนว่า ต่อไปจะไม่เชื่อ GPS ในเส้นทางที่ไม่รู้จัก พวกทางลัด และหลีกเลี่ยงการเดินทางตอนกลางคืน(คนเดียว)
ในยุคที่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงในทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครปรับตัว และยืดหยุ่นได้ดีกว่า ก็สามารถอยู่รอดได้ดีกว่า โดยเฉพาะการยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility / Mind Flexibility) ซึ่งเป็นทักษะความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรม ปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถแก้ปัญหา และรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมีการพัฒนาด้านสติปัญญา(Intelligent), การรู้จักใช้เหตุผล(Reasoning) ,ความสามารถในการแก้ปัญหา(Problem Solving) รวมถึงการคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นด้านความคิดอย่างมีประสิทธิภาพ การเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า "หัวสี่เหลี่ยม" หรือ"เถรตรง" อาจเป็นสิ่งดีงามในบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ส่วนตัวชอบคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ต้องระวังมาก แต่ในหลายสถานการณ์ การตรงไปตรงมาแบบเถรตรงก็อาจสร้างปัญหามากกว่าได้ประโยชน์
บนโลกความเป็นจริง เราจะพบเห็นคนที่มีความคิดแบบ "หัวสี่เหลี่ยม" อีกมากมาย โดยไม่สนว่าโลกมันจะเปลี่ยนไปอย่างไร ยังคงยึดติด มีวิธีคิดแบบเดิม ไม่ปรับเปลี่ยนตามบริบทที่เปลี่ยนไป มันจะไม่มีปัญหาหากความคิดของเขาถูกใช้กับชีวิตของตัวเขาเองไม่เกี่ยวกับใคร เพราะเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล แต่มันจะสร้างปัญหาเมื่อเอาความคิด "หัวสี่เหลี่ยม" ไปบังคับใช้กับคนอื่นให้ต้องปฏิบัติตาม เมื่อถามเหตุผล และเห็นแย้งกับความคิด ก็จะไม่พอใจต่อกัน โดยมองไม่เห็นว่าตัวปัญหาจริงๆคือใคร เหมือนว่าเราก็รู้ว่า ถูกปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ก็มีการใช้อำนาจบังคับให้ทำ หรือไม่ให้ทำ โดยมีข้ออ้างต่างๆนานาที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงกันได้ .... นี้แหล่ะ คือการอยู่ร่วมกัน แบบไทยไทย
พ่อหมูตู้


