อิจฉา
ตราบใดที่มนุษย์ยังยึดเรื่องตัวตน ก็ต้องมีความรู้สึก "อิจฉา" อาจเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วหายไป เป็นความรู้สึกที่เกิดตามประสาของมนุษย์ที่ยังอยู่ในวัฏสงสาร มีรัก โลภ โกรธ หลง ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติของมนุษย์เมื่อมาอยู่ร่วมกัน แต่หากปล่อยให้สมองติดอยู่กับกลไกความคิดแบบติดลบไปเรื่อยๆ จนพัฒนาจาก"อิจฉา" เป็น "ริษยา" ในสมอง ถึงขนาดหาทางทำร้าย หรือทำลายคนที่อิจฉา อาจเป็นสัญญาณบอกว่าอาจเข้าข่ายเป็น "ผู้ป่วยจิตเวช" ได้ แล้วความรู้สึก "อิจฉา" มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
อิจฉา เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการประเมิน แข่งขัน หรือเปรียบเทียบทางสังคม ระหว่างตัวเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดความไม่สบายใจหรือไม่มีความสุข เป็นอารมณ์ที่เป็นไปในทางลบและถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ภายในโดยไม่ได้แสดงออกไปให้ใครเห็น และ อารมณ์ความรู้สึกอิจฉาถูกสร้างจากสมองของมนุษย์ ที่มีการยึดติดตัวตน ซึ่งผมหมายถึง คนที่ใช้ชีวิตทั้งหลายที่ยังไม่ได้หลุดพ้นจากสิ่งเร้า
มีแนวคิดเรื่องตัวตนของมนุษย์ (Self Theory) ของ Carl Rogers นักจิตวิทยาสายมนุษยนิยม เชื่อว่า มนุษย์มีตัวตนอยู่ 3 แบบ ได้แก่
1. ตัวตนตามที่ตนมอง (Self Concept) สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น
2. ตัวตนตามความเป็นจริง (Self- Image /real-self) สิ่งที่เราเป็นจริง ๆ
3. ตัวตนในอุดมคติ (Ideal Self) สิ่งที่เราอยากเป็น
เช่น สมมุติว่าเรามีตัวตนตามที่เราคิดว่าเราเป็น(self concept) = เป็นนักลงทุน , ตัวตนในอุดมคติ (Ideal Self) = อยากเป็นคนรวย แต่ตอนนี้ตัวตนที่เรามองเห็นตัวเอง (self-image) = ทำรายได้จากการลงทุนไม่มากนัก บางทีก็ขาดทุน ก็อาจส่งผลให้เกิดการเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ (low self-esteem) และนำไปสู่ปัญหาทางอารมณ์ หากตัวตนของเราทั้ง 3 ส่วนนี้ ไปในทิศทางเดียวกันและยิ่งสอดคล้องกันมากเท่าไร เราจะเป็นคนที่มีบุคลิกภาพมั่นคง เห็นคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) มากเท่านั้น แต่หากไม่สอดคล้องกันและยิ่งแตกต่างกันมากเท่าไร จะมีความสับสน อ่อนแอในบุคลิกภาพ รู้สึกไม่พึงพอใจ เมื่อไรที่เราเห็นคนอื่นได้ดี แล้วรู้สึกแย่ นั่นเป็นเพราะว่าภายในใจเรากำลังสงสัยและเปรียบเทียบ ส่งผลกระทบต่อ self-concept และยิ่ง ideal-self แตกต่างจาก real-self มากเท่าไร ยิ่งกระทบต่อความมั่นใจ (self-confidence) ความมีคุณค่า รวมถึงการรับรู้ความสามารถของตัวเอง (self-advocacy) ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง เมื่อเราไม่สามารถเป็นในสิ่งที่เรายึดถือเป็นคุณค่าของเราได้ ทำให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำลง และอาจพาลไปถึงความอิจฉาคนที่มีภาพแสดงสิ่งที่เราฝันใฝ่ แต่ไปไม่ถึงก็เป็นได้ ยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย โชว์ความสำเร็จ โชว์ความร่ำรวย ได้เห็นแต่ด้านบวกของการใช้ชีวิตของคนอื่นมากมาย ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองลดลง เราจะเริ่มไม่พอใจ เพราะเกิดการเปรียบเทียบชีวิตตัวเอง กับคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว มีความอิจฉาโดยอัตโนมัติ บางครั้งยังพาลไปรู้สึกหมั่นไส้ ไม่ชอบ และอิจฉาคนอื่นรอบตัว ไม่ว่าจะเพื่อน พี่ น้อง หรือคนอื่นๆที่เราเห็นชีวิตของเขาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย กลายเป็นคนนิสัยขี้อิจฉา ไม่อยากเห็นใครดีกว่า
ในงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ได้ศึกษาพฤติกรรมของแฟนเบสบอลทีมบอสตัน เรด ซอกซ์ และ ทีมนิวยอร์ก แยงกีส์ ซึ่งเป็นทีมคู่ปรับกันมายาวนาน พบว่า เมื่อทีมใดทีมหนึ่งแพ้ สมองส่วน Ventral Striatum (เป็นสมองส่วนที่มีหน้าที่ให้รางวัลต่อสิ่งเร้าที่เผชิญอยู่ ยิ่งถูกกระตุ้นด้วย ผลตอบแทน หรือ สิ่งที่ยั่วยวนใจ มากเท่าไหร่ มันยิ่งตอบสนองและให้รางวัล จนทำให้เราตกอยู่ใน สภาวะเสพติด หรือ ขาดการยับยั้งตัวเองมากขึ้น) แฟนคลับของทีมที่ชนะจะมีการตอบสนองเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะสัมพันธ์กับความสนุกสนาน เพลิดเพลินใจ นอกจากนี้ปฏิกิริยาของสมองในส่วนนี้ยังตอบสนองในแบบเดียวกันเมื่อแฟนคลับแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อเวลาพูดถึงการกระทำที่อยากทำร้ายแฟนคลับอีกฝ่าย และมีความสุขเมื่ออีกฝ่ายทำผิดพลาด นั่นคือในมุมเกี่ยวกับ ความรู้สึกอิจฉา ว่า "สมอง สนุกเมื่อเห็นคนที่เราอิจฉาหรือหมั่นไส้ล้มเหลวเรื่องใดๆ ก็ตาม"
สมัยก่อนผมถูกสอนว่า "เวลาพูดชมลูกน้องให้ชมต่อหน้าผู้คน แต่เวลาจะตำหนิ ให้เรียกไปตำหนิในห้องสองคน" ตอนนั้นคิดว่า มันก็ใช่นะ ที่เวลาเราพูดชื่นชมลูกน้องที่ทำดี ต้องแซ่ซ้องให้ทุกคนได้รับรู้ จะได้ยินดีกับการทำดี และเวลาทำงานผิดพลาด ต้องไม่ทำให้ลูกน้องเสียหน้า เดี๋ยวลูกน้องจะเสียการปกครอง ต้องเรียกมาตำหนิเงียบๆ หลายคนจะได้ไม่รับรู้ มาตอนนี้ ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อิจฉากันโดยไม่รู้ตัว ผมว่าบางทีการชมดังๆให้คนได้รับรู้ อาจทำให้เพื่อนร่วมงาน ที่มีการเปรียบเทียบกันอยู่ สร้างความรู้สึกอิจฉาได้ ซึ่งเป็นเรื่องอารมณ์ที่เก็บเงียบ ไม่มีใครรู้ หรือบางคนอาจแสดงออกให้รับรู้ก็ได้ รวมถึงเวลาลูกน้องทำผิด หากไม่ตำหนิให้คนอื่นรับรู้ อาจมองว่า ทำผิดแล้วไม่เป็นไร หัวหน้าไม่ว่า ไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะในการสื่อสารที่ดี คำพูดบวกที่สร้างแรงบันดาลใจ กับคำตำหนิที่ดูเหมือนคำสอน ผมมีตัวอย่างเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง มีผู้บริหารระดับสูงเรียกตัวผู้จัดการทั่วไป(General Manager : GM)คนหนึ่งมาช่วยงานในโครงการของบริษัท และได้เรียกระดับหัวหน้างานทุกคนในบริษัทมาประชุม เพื่อแนะนำตัว GM คนนี้ให้ทุกคนได้รู้จัก โดยพูดว่า "เป็นโชคดีของบริษัท เหมือนฟ้าประทาน GM คนนี้มาช่วยงาน ถ้าไม่ได้ GM มาช่วย งานคงจะไม่สำเร็จ " พอแนะนำตัวเสร็จ GM ได้ยินแทนที่จะรู้สึกตัวลอย แต่กลับมองว่าเป็นคำพูดเยินยอที่เชิญชวนศัตรูให้เข้ามาหา เชื่อเถอะว่า ในบรรดาหัวหน้างานในห้อง 90% ต้องหมั่นไส้ และอิจฉา เพราะพวกเขาทำงานมาหลายปีตั้งแต่เปิดบริษัท จู่ๆเอาคนใหม่ที่ไหนมาทำงาน แล้วพูดเชิดชู ยกย่องต่อหน้าพวกเขา ทั้งๆที่ผ่านมาพวกเขาอาจไม่เคยได้รับคำชมแบบนี้เลย เพื่ออธิบายให้ง่ายขึ้น ท่านลองคิดดูว่า มีใครในโลกนี้ไหม๊ ที่ท่านไม่ชอบ หรือเกลียดอย่างมาก วันหนึ่งถ้ารู้ว่าเขาล้มเหลว เราจะรู้สึกดี แต่ถ้ารู้ข่าวว่าเขาได้รับสิ่งที่เราอยากได้ (ในขณะที่เราไม่ได้) อารมณ์อิจฉาจะเกิดขึ้นทันที
เนื่องจากอารมณ์อิจฉาเกิดจากความคิดและความรู้สึกที่เกิดโดยอัตโนมัติ และควบคุมได้ยาก ไม่สามารถห้ามไม่ให้เกิดได้ยาก สิ่งที่ควรทำได้ คือเมื่อรู้สึกอิจฉาขึ้นมา เราต้องมีสติที่ต้องตระหนักรับรู้ (Awareness) ว่าเรากำลังอิจฉาอยู่ เกิดอารมณ์นี้อยู่ และเราควรตอบสนองอย่างไร ซึ่งคนส่วนใหญ่ มักขาดสติ ปล่อยให้อารมณ์อิจฉาลื่นไหลไปกับการคิดลบ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากปล่อยให้กลไกคิดลบแบบนี้ เกิดขึ้นบ่อยๆ จะเป็นอันตรายมาก อาจพัฒนาเป็นนิสัยที่แย่ และส่งผลร้ายต่อตัวเองในที่สุด การฝึกให้มีสติอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นหนทางที่จะควบคุมความคิดอิจฉา ไม่ให้เลยเถิด ทำให้ไม่ยึดติดการมีตัวตน และปล่อยวางต่อสิ่งสมมติที่เกิดขึ้นได้ จนมองเป็นวิถีการใช้ชีวิตของแต่ละคน ที่ไม่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบให้รู้สึกอิจฉาได้ และไม่มีประโยชน์อันใดต่อตัวเอง
the grass is always greener on the other side of the fence
หญ้าบ้านข้าง ๆ เขียวกว่าบ้านเราเสมอ
(เรามักเห็นชีวิตคนอื่นดีกว่าชีวิตตัวเราเองเสมอ)
พ่อหมูตู้