ฟางเส้นสุดท้าย
ในโลกปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เข้ามากดดัน(disrupt) ให้ต้องปรับเปลี่ยน ต้องเผชิญกับภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ รวมทั้งปัญหาจากมนุษย์ในการใช้ชีวิตร่วมกัน ล้วนสร้างความเครียด ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาสุขภาพกาย และสุขภาพจิต ทุกคนจึงต้องมีทักษะที่ต้องใช้ในการจัดการปัญหาเหล่านี้ ได้แก่ ความยืดหยุ่น การปรับตัว และการจัดการทางอารมณ์ เพื่อช่วยรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ให้ต้องใช้ชีวิตอย่างจิตตก วิตกกังวล จนสุขภาพจิตเสีย อีกทั้งระบบร่างกายของเรา มีกลไกตอบสนองต่อความเครียด เป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาที่มุ่งหวังให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้า หรือหลบหนีจากอันตรายที่รับรู้ เป็นเรื่องของการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ( Parasympathetic Nervous System) ซึ่งเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ มีหน้าที่ควบคุมการทำงานหลายอย่างที่ตอบสนองอย่างเป็นอัตโนมัติ เป็นกลไกควบคุมกิจกรรมใต้สำนึกของร่างกายและอวัยวะต่างๆ เช่น การควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต การย่อยอาหาร การปัสสาวะ และการขับเหงื่อ....นั่นคือ หากเราไม่สามารถจัดการกับปัญหา ความเครียดได้ จะส่งผลกระทบต่อการตอบสนองของระบบประสาทดังกล่าว ซึ่งเป็นผลร้ายของสุขภาพกายและจิตของตัวเราเอง หนึ่งในการจัดการปัญหาที่จะพูดถึงคือ"ความอดทน" (patience) เป็น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และแรงกระตุ้นของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องรอคอย หรือเจอปัญหา ความท้าทาย ความอดทนเป็นลักษณะเชิงบวกที่ช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญกับความยากลำบากโดยไม่หงุดหงิด โกรธ หรือยอมแพ้ และเมื่อใครสักคนอยู่ในกรอบความอดทนของตนเอง พวกเขาก็จะสามารถจัดการกับความเครียดและความท้าทายในแต่ละวันได้โดยไม่รู้สึกกดดันหรือปิดกั้นตัวเอง สถานะนี้ช่วยให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างปรับตัวและช่วยให้แก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางธรรมะ ความอดทนของมนุษย์มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่ 1. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ 2. อดทนต่อทุกขเวทนา 3. อดทนต่อการกระทบกระทั่ง และ 4. อดทนต่อความเย้ายวนยั่วยุ โดยความอดทนก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ความสามารถในการอดทนต่อสถานการณ์หรือปัญหาต่างๆ มีขอบเขตที่สามารถรับมือได้ในแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวิธีจัดการและควบคุมอารมณ์ ซึ่งภูมิคุ้มกันของแต่ละคนก็แตกต่างกัน กรอบความคิดของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ทัศนคติของต่างกัน ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานการเลี้ยงดู ให้การเติบโตมาอย่างไร บางคนถูกเลี้ยงดูแบบตามใจตั้งแต่เด็ก, บางคนใจร้อน ก้าวร้าว ,บางคนมักใช้ความรู้สึกตัดสินทุกสิ่งแทนการใช้เหตุผล , บางคนมักขาดสติเมื่อเผชิญกับภัยคุกคาม, บางคนเก็บกดเหมือนน้ำเต็มแก้ว ,บางคนบ้าอำนาจยึดติดทุกสิ่งมากไป ,บางคนให้ชีวิตอย่างสบาย ไม่เคยลำบาก .......พื้นฐานของอารมณ์ที่แตกต่างกันนี้ จะกำหนดระดับของความอดทนของแต่ละคนให้ต่างกัน ซึ่งก่อนที่จะถึงขีดจำกัดของความอดทน มักจะมีคำพูดหนึ่งที่ว่า "ฟางเส้นสุดท้าย"
ที่มาของสำนวน "ฟางเส้นสุดท้าย" ไม่ใช่สำนวนไทย แต่มาจาก สุภาษิตอาหรับ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้ว่า "the last straw that breaks the camel's back" มีความหมายว่าเมื่อเจ้าของอูฐนำของบรรทุกหลังอูฐมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงจุดที่อูฐทนต่อไปไม่ไหว แม้จะใส่ฟางซึ่งมีน้ำหนักเบามากอีกเพียงเส้นเดียวก็ทำให้อูฐหลังหักได้ ต่อมาแปลงมาเป็น "the straw that broke the donkey's back" (ฟางเส้นที่ทำให้หลังลาหัก) ตัวอย่างเช่น คนสองคน เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายสิบปี ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ก็มีเรื่องระหองระแหงกัน อดทนกันมาตลอด แค่อีกคนไม่ไปงานศพของคุณแม่ของอีกคนที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องเลิกคบกันไปเลย หรือ ผู้บริหารที่เอาแต่สั่งงาน โดยที่ตัวเองก็ไม่มีความสามารถในการทำ(ทำงานด้วยปาก) แต่กดดันให้ลูกน้องทำให้สำเร็จ กดดันลูกน้องด้วยคำพูด killing word เช่นลูกน้องทำงานส่งชิ้นงานเข้าประกวดรางวัล และได้รางวัลที่สองระดับประเทศ ก็พูดตำหนิว่า "ทำได้แค่ที่สองเหรอ" ลูกน้องคนนั้นก็ไม่ได้สิ่งตอบแทนใดๆแม้แต่คำชม ในวันที่รับรางวัล เขาตัดสินใจไม่ขึ้นไปรับรางวัล ปล่อยให้บรรดาผู้บริหารคนนั้นกับบรรดาลิ่วล้อขึ้นรับรางวัล เอาหน้าเอาตาไป ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยลงมือทำเลย เขาอดทนทำงานภายใต้การปกครองของผู้บริหารแย่ๆคนนี้มาโดยตลอด จนฟางเส้นสุดท้ายกับคำพูดที่ตำหนิงานว่า "ห่วยแตก" เพียงคำเดียวและรุ่งขึ้นเขาก็ยื่นใบลาออก บางทีการแบบรับฟางเส้นสุดท้ายอาจมีน้ำหนักหนัก เบา ต่างกัน มันเป็นเรื่องของการแบกรับความรู้สึกที่อยู่ข้างใน เป็นขีดจำกัดของความอดทนที่ไม่สามารถจะรับได้ต่อไป เป็นการหลีกเลี่ยงหรือตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งจะกระทบถึงสุขภาพจิต และการใช้ชีวิต ผมเคยเขียนเรื่องทางเลือกในการแก้ปัญหามนุษย์ เปรียบเหมือนแป้นพิมพ์หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยก่อน เวลาเครื่องประมวลผลหยุดชะงัก(hang) ระบบจะ popup ให้ผู้ใช้เลือกแก้ปัญหาโดยการกดปุ่ม 3 ปุ่ม คือ Abort (ยกเลิก), Retry (ลองอีกครั้ง) และ ignore (ข้ามไป) ในชีวิตจริงเมื่อเราเผชิญปัญหา เราจะยกเลิกแล้วทำใหม่ เปลี่ยนใหม่ หรือ จะลองพยายามทำอีกครั้ง หรือ ข้ามปัญหานี้ไปเลย เพื่อให้ดำเนินต่อ แต่ในเรื่องฟางเส้นสุดท้ายนี้ คือการไม่เลือกสามปุ่มเลย แต่ใช้วิธีปิดเครื่อง หรือ format(ล้างเครื่อง) ลงโปรแกรมใหม่
การเข้าใจความเป็นมนุษย์ และหมั่นที่จะพัฒนาจิต เพื่อยกระดับสติและปัญญา จะช่วยให้มีความอดทนสูง เพื่อใช้เผชิญกับเรื่องลบๆที่เข้ามา โดยพยายามให้อยู่ในกรอบของความอดทนของตนเอง หากคิดว่าได้อดทนมาพอแล้ว จงตัดสินใจอย่างมีสติ เพื่อให้ชีวิตที่ดีกว่า ก่อนที่จะถึงฟางเส้นสุดท้าย เพราะในตอนที่เกิดฟางเส้นสุดท้ายแล้ว อาจตอบสนองอย่างไม่มีสติ หรืออาจทำในเรื่องที่แย่ๆ จนเสียสภาพความเป็นมนุษย์ไป เราอย่าไปเสียเวลาอดทนกับสิ่งที่แย่ๆ เป็นเวลานานๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และบั่นทอนสุขภาพจิตของเราให้แย่ลง เหมือนเอาตัวไปจมอยู่ในหลุมบ่อของปัญหา จนยากจะปีนขึ้นมาให้หลุดพ้น อาจตายไปในหลุมบ่อไปพร้อมกับความอดทนที่ไร้สติปัญญา นับวันผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีความอดทนน้อยลง แต่มีการปฏิบัติต่อกันอย่างไม่อดทนมากขึ้น หมดยุคต้องแบกรับฟางจำนวนมาก ไม่ต้องรอถึงฟางเส้นสุดท้าย พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ และตอบโต้อย่างตรงไปตรงมา หลายคนก็ชอบการตรงไปตรงมา แต่ก็มีอีกหลายคนที่มองว่านิสัยไม่ดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เวลา และจังหวะที่ตอบสนอง การแสดงพฤติกรรมไม่ยอมอดทน ถ้าเป็นเด็กก็จะถูกว่าก้าวร้าว แข็งกระด้าง พ่อแม่ไม่สั่งสอน , ถ้าโตขึ้นมาหน่อย ก็จะว่าไม่มี EQ , หากเป็นคนทำงานก็จะถูกมองว่าทำงานไม่เป็น ไร้วุฒิภาวะ, ส่วนถ้าเป็นผู้ใหญ่อายุเยอะ ก็จะถูกมองว่า วัยทอง แก่ไม่มีคุณภาพ ...... แต่ก็ไม่เป็นแบบนี้เสมอ เพราะคนที่มีความอดทนต่ำ ถ้ามีการแสดงออก มีการตอบโต้หรือสื่อสารที่ดี ก็กลายเป็นบวกได้ เราอาจเห็นคนมีชื่อเสียง หลายคนที่มีความอดทนต่ำ แต่ก็แสดงออกตามวิธีของเขา กลายเป็นคนน่ารัก มีวุฒิภาวะ ตรงไปตรงมา มีความฉลาด มีภาวะเป็นผู้นำ กล้าที่จะแสดงออก ..... ขึ้นอยู่กับความชอบในมุมมองของคนที่ต่างกัน แต่ยังไงผมเชื่อว่า คนที่มีความอดทนสูงย่อมได้เปรียบกว่า ควบคุมอารมณ์ในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการประสบความสำเร็จ
" ถ้าต้นทุนชีวิตเรามีน้อย สิ่งที่เราต้องทำมากกว่าคนอื่นคือ ความอดทน "
พ่อหมูตู้