แชร์

คนที่อยู่ใกล้กัน มักเหมือนกัน

อัพเดทล่าสุด: 8 ส.ค. 2025
304 ผู้เข้าชม

               เห็นคลิปที่มีคนเอาแท่งทองคำไปจุ่มในสารปรอท(Amalgam)  สักพักทองคำจะถูกสารปรอทกินจนกลายเป็นเนื้อปรอท  ทำให้คิดถึงสำนวนที่คนในสังคมมักพูดกันว่า "คนที่อยู่ใกล้กัน มักเหมือนกัน"    หากเป็นคนช่างสังเกตุ เราอาจเคยเห็นคนที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ตลอดเวลา   มักจะมีความคล้ายคลึงในการใช้ชีวิตหลายๆด้าน เช่นการแสดงออก ทัศนคติ วิธีคิด ความชอบ หรือแม้กระทั้งลักษณะภายนอกที่แสดงออกอย่างคล้ายคลึงกัน   
               มีทฤษฏีของนักจิตวิทยาชาวอเมริกา ชื่อ Robert Zajonc ได้อธิบายไว้ว่า คนมักจะเลียนแบบลักษณะผู้คนที่อยู่รอบตัว หรือเรียกว่า "การเลียนแบบจิตไร้สำนึก" (Unconscious Mimicry) ที่มักจะไม่รู้สึกตัว   เป็นกลไกการเลียนแบบที่เกิดจากระบบของร่างกาย ที่เกี่ยวกับกระบวนการปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อมและทำไปโดยไม่รู้ตัว   เราอาจจะพบว่าพฤติกรรมต่างๆของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพูด ท่าทาง การเดิน ความชอบ รวมถึงการแต่งตัว จะคล้ายกับเพื่อนสนิท หรือคนใกล้ชิดมาแบบไม่รู้ตัว    เป็นการซึมซับพฤติกรรมจากการเลียนแบบและความเคยชิน   ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะว่าเราอยู่ใกล้กันเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นเพราะกิจกรรมต่างๆ ที่ทำร่วมกันทำ  จะค่อยๆเปลี่ยนเราและเพื่อนให้มีท่าทาง ลักษณะ และบุคลิกที่เหมือนกัน  จนบางทีอาจมีคลื่นสมองในระดับเดียวกันด้วย   สอดคล้องกับทฤษฏีของนักวิจัยด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง ประเทศสก็อตแลนด์ ชื่อ Tony Little  ที่ว่าคนเราจะถูกดึงดูดด้วยคนที่มีหน้าตาคล้ายกันกับเรา  นั่นคือเวลาคุณเห็นใบหน้าของคนที่เหมือนคุณ คุณจะรู้สึกเชื่อใจและให้ความร่วมมือมากขึ้น  เพราะจะรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เรารู้จัก และสิ่งที่เรารู้จักดีคือ ใบหน้าของเรานั่นเอง  โดยคนส่วนใหญ่จะมีกระบวนการตรวจสอบตัวเอง (Self-Monitoring) หรือการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อให้คนรอบข้างพึงพอใจ   เราอาจพบเจอคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมีหน้าตาเหมือนกันยังกะฝาแฝด  เพราะมนุษย์มักจะรู้สึกสบายใจ กับคนที่มีอะไรคล้ายกับเรา และมักจะดึงดูดคนที่เหมือนกันมาเป็นเพื่อนกัน  และเพื่อนสนิทจะมีอิทธิพลต่อกัน มีความชอบ รสนิยม แฟชั่น การแต่งหน้า ท่าทาง คำพูด ....ที่คล้ายกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน    และยังมีกฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ที่เขียนใน The Secret (2016)โดย Rhonda Byrne  เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าความคิดและความรู้สึกของเรามีพลังในการดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตทั้งด้านบวกและด้านลบ  หลักการสำคัญคือ "สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดกัน" หรือ "Like attracts like"  นั่นคือหากเราคิดบวกและมุ่งเน้นไปที่สิ่งดีๆ เราก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต แต่ถ้าเราคิดลบและมุ่งเน้นไปที่สิ่งไม่ดี เราก็จะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามา    
              ในสังคมบ้านเรา ก็มีคำพูดที่ว่า "ศีลเสมอกัน"  เป็นสำนวนในสมัยก่อนที่กล่าวถึง คนที่มีการถือศีลในทางพุทธศาสนาเหมือนกันมาอยู่ด้วยกันซึ่งเป็นสิ่งดี   แต่ในปัจจุบันสำนวนดังกล่าว อาจถูกใช้สื่อสารได้สองนัยยะ ได้แก่ หมายถึงคนสองคนสามารถคบกัน หรือเข้ากันได้ดี อยู่ร่วมกัน ได้อย่างมีความสุข และมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน  โดยต้องมีความประพฤติปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน หรือไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศีลธรรม, การดำเนินชีวิต, ความเชื่อ, หรือแม้กระทั่งรสนิยม    ส่วนนัยยะที่สองคือ การพูดในเชิงประชดประชัน,เสียดสี หมายถึง  คนสองคนหรือหลายคนที่มาอยู่ด้วยกันหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะพวกเขาต่างมีนิสัยไม่ดี ประพฤติไม่ดี จึงอยู่ด้วยกันได้    ในมุมมองทางจิตวิทยา ลักษณะแบบนี้เรียกว่า  Similarity-attraction Effect หรือ Similarity Attracts หมายถึง ความเหมือนเป็นแรงดึงดูดให้คนเข้าหากันได้    ความเหมือนที่ว่านี้ อาจเป็นได้ทั้งในด้านดี และความเหมือนในด้านไม่ดี   ขึ้นอยู่กับว่า เป็นความเหมือนที่ตั้งอยู่บนฐานความคิดหรือเจตคติแบบไหน   เช่น ความเหมือนบนความคิดดี ทำดี ยึดคำสอนทางศาสนาพุทธเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัวเป็นพุทธศาสนิกชน ก็จะชวนกันทำบุญ เข้าวัด ปฏิบัติธรรม...   หรือความเหมือนบนผลประโยชน์ บนความโลภ  ก็จะชวนกันหาแต่ประโยชน์ อยู่ด้วยกันที่ผลประโยชน์ การเอาเปรียบคน .... หรือ ความเหมือนในความคิดเดียวกัน ถูกคอเวลาพูดคุยกัน มีความสุขในการได้พูดถึง หรือได้รู้เรื่องการใช้ชีวิตของคนอื่น....     ซึ่งแรงดึงดูดที่เกิดขึ้น จะนำพาพวกคนหล่านี้มารวมกันเอง     มีเรื่องที่เล่า ที่เกี่ยวกับ "คนที่อยู่ใกล้กัน มักเหมือนกัน" จากที่ได้ประสบมาตอนสมัยทำงาน   (1) หัวหน้าหน่วยงานหนึ่ง เป็น LGBTQ (ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ) เธอเป็นผู้หญิงที่มีท่าทางเป็นผู้ชาย หรือเรียกว่า "ทอม" ผมสั้นเหมือนผู้ชาย ใส่กางเกง พูดจาเสียงดัง ไม่แต่งหน้า ....  ในหน่วยงานที่เธอดูแลมีพนักงานเกือบสิบคน แรกๆเห็นมีพนักงานผู้ชายหลายคนมากกว่าครึ่ง  ในระยะหลัง มีพนักงานลาออก แล้วเธอก็รับพนักงานใหม่มาแทน โดยรับแต่เพศหญิงเข้ามาร่วมงาน  อยู่ไปไม่นาน เหลือผู้ชายไม่กี่คน นอกนั้นเป็นทอมเกือบทั้งหมด  ต่างก็แต่งตัว มีลักษณะท่าทาง น้ำเสียง ลอกเลียนแบบเหมือนหัวหน้าอย่างไม่ผิดเพี้ยน, (2) ผู้บริหารไฟแรงท่านหนึ่ง มีนิสัยการทำงานแบบเชิงรุก ชอบพูดนำในที่ประชุม  มักจะพูดภาษาอังกฤษคำไทยคำปนกันในทุกประโยค  เหมือนคนที่พึ่งจบจากต่างประเทศมา หรือไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปี (จริงๆแล้วเธอก็จบในประเทศนี้แหล่ะ)  และสังเกตุเห็นว่า ลูกน้องในทีมเกือบทุกคน ก็มีท่าทีการพูดที่เหมือนกับเจ้านายเปี๊ยบ  จนคนที่เคยไปประชุมกับทีมงานของเธอ หลายคนพูดกันว่า " ช่างน่ารำคาญ กระแดะพูดไทยคำอังกฤษคำ"  ผมยังไม่เชื่อจนได้เข้าร่วมประชุมด้วยตัวเอง  ตัวอย่างเช่น " รู้สึก appreciate กับ develop team กับ Research team ที่ช่วย delivery งานตาม work schedule ทำให้ team สามารถ Reduce Cost ในการ Driven งานนี้ลงได้ on time  ...."   จึงทำให้เข้าใจในความเหมือน  ......  ฯลฯ     

               ถ้าจะพูดถึงเรื่อง "กฏแห่งการดึงดูด" ผมเชื่อว่าบางทีอาจไม่ได้เกิดเฉพาะกับมนุษย์ด้วยกันในเรื่องของสัมพันธ์  แต่อาจเกิดระหว่างมนุษย์กับสิ่งของหรือวัตถุได้ เหมือนเราส่งพลังจิต หรือแรงปรารถนาออกไปให้โลกรู้ แล้วได้มีการตอบรับ   เคยมีคำพูดที่ว่า "ของที่จะเป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา" จากที่เคยประสบมา ตอนที่เปิดร้านขายของเก่าบนห้างฯ มีอยู่วันหนึ่งจู่ๆก็คิดว่าอยากได้เหรียญของหลวงพ่อ(เกจิอาจารย์)ท่านหนึ่งมาบูชา เพราะมีความศรัทธามาก  ในวันรุ่งขึ้น ก็มีคนเอาเหรียญของหลวงพ่อ(ที่ผมอยากได้) มาขายที่หน้าร้าน ตอนนั้นก็อึ้งไป   หรือนั่งดูรูปวัตถุมงคลสายใต้ และสนใจพระบูชาองค์หนึ่ง แค่คิดว่าอยากได้มาบูชา  วันต่อมามีเพื่อนที่อยู่ใต้โทรมาหา จะบอกว่าได้เช่าพระ(องค์ที่อยากได้)ให้ กำลังส่งมา   ผมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ ยกเว้นเรื่องเดียวที่ไม่เคยได้เลย คือ คิดว่าถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่1 รอมาหลายสิบปีก็ยังไม่ได้สักที    เคยคิดถึงเพื่อนที่เคยสนิทกัน และจากกันไป ไม่ได้ติดต่อมาหลายปี สักพักเขาคนนั้นก็โทรมาหา    หรือ คิดอยากกินอาหารสักอย่าง แล้วจู่ๆก็มีคนเอามาให้  ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นๆเป็นอย่างที่ผมเป็นไหม๊  แต่ทำให้ผมเชื่อเรื่องกฏแห่งแรงดึงดูด 

              โลกมักจะเหวี่ยงคนที่เหมือนๆกันให้มาอยู่ด้วยกัน  ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง หรือเกิดจากการนำพาของสิ่งที่เรียกว่า โชคชะตา,พรหมลิขิต หรือเวรกรรม ให้มาผูกพันกันอยู่ในช่วงหนึ่งของการใช้ชีวิต ช้าเร็ว อยู่ที่การปฏิบัติต่อกัน สุดท้ายทุกคนก็ต้องแยกย้าย จากกันไป  ไม่มีใครอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป นั่นคือหลักของไตรลักษณ์ (อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา) 

พ่อหมูตู้ 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
หมูปิ้งที่ถูกทำให้แตกต่าง
เล่าถึงความใส่ใจในการขายสินค้าและบริการ กับความพึงพอใจของมนุษย์
30 มี.ค. 2025
พูดแล้วได้อะไร? .. ไม่พูดแล้วได้อะไร?
ความเข้าใจ และให้ความสำคัญของการคิดทบทวนก่อนที่จะพูดออกไป ว่าได้หรือเสียประโยชน์
6 ก.ย. 2025
เรียนรู้จากความโหดร้ายของมนุษย์
เล่าเรื่องความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน จากหนังสองเรื่อง
29 ส.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy