อำนาจเงิน
ในแต่ละวัน ทุกคนมีเรื่องให้ทำมากมาย ต่างใช้ชีวิตตามรูปแบบของตน ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเพื่อหาเงิน ยังกะว่าการใช้ชีวิตในสังคม(ไทย) ที่เป็นทุนนิยม ถูกกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตไว้แล้วว่า การที่คุณจะอยู่ในสังคมนี้ได้ต้องทำงานเพื่อหาเงิน ส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมเอง ก็อยู่ในระบบนี้ เกิดมาก็เรียน เรียนจบมาก็ทำงาน เช้าไปเย็นกลับบ้าน ทำยังงี้มาหลายสิบปี จนชินกลายเป็นวิถีชีวิตของคนทำงานในเมืองหลวง เหมือนเป็นหุ่นยนต์ ที่ถูกโปรแกรมมาแล้ว ทำงานเก็บเงิน ใช้เงิน บริหารเงิน เพื่อให้มีหลักประกันของชีวิตจะได้ไม่อยู่อย่างลำบากในช่วงปลายชีวิต ผมเคยได้ยินบางคนพูดทำนองว่า "มาทำงานเพราะความสุข ความชอบ" และผมก็ถามพวกเขาว่า ถ้าทำงานโดยไม่ได้รับเงินค่าจ้างตอบแทน คือทำงานฟรีๆ จะทำไหม๊ คำตอบคือ ทุกคนต่างทำหน้าบึ้งตึงใส่ เหมือนว่าเราไม่ตามน้ำไปกับเขา ยกเว้นพวกคาบช้อนทองมาเกิด หรือที่บ้านมีเงินมากมายใช้ชาตินี้ไม่หมด คือเกิดมาก็สบายแล้ว เชื่อว่าที่ทำงานก็หวังได้เงินทั้งนั้น สิ่งพลอยได้จากการทำงานคือความสุข ความชอบ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เงินเป็นเหตุและปัจจัยเริ่มต้นของการมีพื้นฐานของการใช้ชีวิตตามปัจจัย4 ได้แก่ อาหาร ,ที่อยู่อาศัย, เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอด และ เมื่อเราได้เข้าใจทฤษฎีแรงจูงใจทางจิตวิทยาที่เสนอโดยอับราฮัม มาสโลว์(Abraham Maslow) ซึ่งแบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับตามปิระมิดของความต้องการ( Maslow's Hierarchy of Needs) สามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ตาม social Media ที่มีการลงไว้มากมาย โดยอธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นลำดับขั้น ซึ่งมี 5 ขั้นได้แก่ ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกายภาพ(Physiological Needs) ขั้นที่2 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) ขั้นที่3 ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ(Love and Belonging) ขั้นที่ 4 ความต้องการความเคารพนับถือ(Esteem Needs) และขั้นที่ 5 ความต้องการบรรลุศักยภาพของตน (Self-Actualization) เราจะเข้าใจและยอมรับว่า เงินคือพื้นฐานที่เติมเต็มความต้องการในระดับล่างก่อนขึ้นไปอีกขั้นที่อยู่สูงกว่าได้ ซึ่งเป็นกฏที่ทุกคนต้องทำตาม หากยังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งผมเคยเขียนเรื่องเงิน90% โชคชะตา10% ในบทความเรื่องแรก "ตอนเล็กๆไม่เรียนหนังสือ โตขึ้นมาต้องขัดรองเท้า"ลองย้อนกลับไปอ่านดูครับ ส่วนการใช้ชีวิตในของแต่ละคนว่าจะอยู่ในขั้นไหนของปิระมิด ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจ พอเพียงของแต่ละคน บางคนรวยแล้ว ยังอยากมีตำแหน่ง มีชื่อเสียง, บางคนแค่ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ไม่ลำบากก็เพียงพอ, บางคนมีอำนาจแล้ว ก็อยากมีสูงขึ้น ฯลฯ คิดถึงเรื่องเล่าว่า มีชายสามคน ชายคนแรก มองว่าเขาพอใจที่จะมองยอดภูผาที่สวยงามจากบ้านของเขา ไม่คิดจะต้องเหนื่อยขึ้นไปปีนป่ายพิชิตยอดสูง ชายคนที่สองเบื่อจะมองยอดเขา อยากลองปีนขึ้นไปได้ชมดอกไม้ ทิวเขาสวยงาม เดินไปถึงกลางทาง คิดว่าไม่น่าจะมีปลายทางที่สวยงามกว่านี้แล้ว พอใจที่หยุด ไม่เดินต่อไป ส่วนชายคนที่สามตั้งใจจะเดินพิชิตยอดดอย เดินไม่สนใจสิ่งใด เดินจนถึงยอดภูเขาได้ มองออกไปเห็นอีกภูหนึ่งที่สูงกว่า ต้องเดินพิชิตต่อไป โดยไม่หยุด เพราะไม่เคยพอ ไม่มีใครถูกผิดว่าจะตัดสินใจที่จะอยู่แบบไหน อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน ในกฏของความต้องการนี้ ใช้ได้กับมนุษย์ที่ดำรงชีพโดยปกติ ยกเว้นมนุษย์ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างหรือแยกออกจากคนทั่วไป ได้แก่ผู้ละทางโลกเพื่อบำเพ็ญเพียร(นักบวช นักพรต ฤาษี ชี พราหมณ์ ) รวมถึงมนุษย์ที่ต้องการปลีกตัว หลุดพ้น ไม่วิ่งตามกฏของสังคม
แทบจะพูดเต็มปากได้ว่า การใช้ชีวิตในเมืองถ้าไม่มีเงินเท่ากับแทบไม่มีทุกอย่าง หรือต้องสูญเสียอะไรหลายอย่าง แม้กระทั่ง ความรัก ความสัมพันธ์ ที่เคยดีต่อกัน ก็อาจต้องทิ้งกันไปได้ คนในสมัยนี้เขาไม่อยู่กันแบบ "กัดก้อนเกลือกิน" คำนี้ คนรุ่นใหม่ไม่น่าจะรู้ความหมาย "กัดก้อนเกลือกิน" เป็นสำนวนเปรียบเทียบที่มีความหมายว่า ยอมใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่อย่างลำบาก ยอมทนทุกข์ยากด้วยกัน จนไม่มีอะไรจะกิน ต้องกัดก้อนเกลือกินประทังชีวิต ผมเคยเห็นตัวอย่าง คนสองคน อยู่ด้วยกันแบบจนๆ ไม่มีเงิน ต้องรับจ้างทำงาน ลำบากด้วยกัน หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกัน และเติบโตด้วยกัน จนร่ำรวย มีฐานะ เป็นที่น่าชื่นชม และผมก็เคยเห็นตัวอย่าง คนสองคนตัดสินใจอยู่ด้วยกัน และสัญญา(ใจ)มาอยู่ด้วยกัน ครองเรือนกัน ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคไปด้วยกัน ในช่วงแรกๆอะไรก็ดี พออยู่กันไปก็เริ่มมีปัญหา และเลิกลากัน เพราะฝ่ายหนึ่งไม่มีเงิน ไม่ร่ำรวย ไม่สามารถให้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ แล้วก็เลิกกันไปด้วยคำว่า "เข้ากันไม่ได้" ผมว่าในสมัยก่อน ความรัก ความซื่อสัตย์ต่อกัน มีมากกว่าคนในปัจจุบัน เพราะคนสมัยก่อนใช้เวลาดูใจกันนาน ตอนจีบกันจะนัดหมายล่วงหน้าว่าจะไปไหน ไม่ว่าจะกินข้าว ดูหนังในโรงหนัง ไปสองคนไม่ได้ ต้องมีคนประกบไปด้วย ไม่สามารถจับมือถือแขน แตะตัวต้องกันได้ ถ้ายังไม่แต่งงานกัน ก็ร่วมหลับนอนด้วยกันไม่ได้ คือผู้หญิงในสมัยก่อนไม่เสียตัวง่ายๆ เหมือนในยุคปัจจุบัน บางคนแค่รู้จักกันแป๊บเดียว ก็สามารถได้เสียกันแล้ว บางคนมีความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืน (one night stand)ก็จากกัน รวมถึงการใช้เงินซื้อความสุขทางกามรมณ์ได้ง่าย ในยุคนี้ ความรักมักจะมาพร้อมความคิดที่หวังว่าจะอยู่ด้วยกัน อย่างสะดวกสบาย ไม่ลำบาก ไม่ต้องมีภาระใดๆ มีความมั่นคงในชีวิต การที่จะตกลงรักกัน ร่วมใช้ชีวิตกัน ต้องมีเรื่องเงินมาเป็นปัจจัยหลักที่พิจารณา ในสมัยก่อนมักได้จะยินคำพูดว่า "เงินซื้อความรักไม่ได้" ซึ่งแสดงถึงการให้คุณค่าของความรักที่มีต่อกัน มาตอนนี้ใครๆก็อยากอยู่กับคนที่รวย เพราะให้ความสุขได้ ไม่ต้องลำบาก คนรวยจึงมีสิทธิ์พิเศษกว่าคนไม่มีเงิน ถ้าบอกว่าเงินซื้อความรักไม่ได้ แต่เชื่อเถอะความรักจะเสื่อมหายได้เมื่อขาดเงิน ผมเคยเห็นตัวอย่างความจนของพ่อค้าที่รู้จักคนหนึ่ง บางวันขายของไ่ม่ได้ แทบไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวกินในแต่ละมื้อ ไม่มีเงินซื้อยาหรือพาตัวเองไปโรงพยาบาลในยามที่เจ็บป่วย รถเสียก็ไม่มีเงินที่จะเอาเข้าอู่ซ่อม เงินไม่มีจ่ายค่าไฟ และค่าเช่าบ้าน ชีวิตมีแต่ความทุกข์ร้อน ขัดสน จะทำอะไรก็ไม่ได้ติดขัดไปหมด แม้กระทั่งอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ มีชีวิตหากินเอาตัวรอดไปวันๆ ทุกนาทีของพวกเขามีค่าต่อการใช้ชีวิตเพื่อดำเนินต่อ เห็นชีวิตแบบนี้ รู้สึกว่า ความจนมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เชื่อเรื่อง "เงิน" ทำให้รสนิยมของคนเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัวไหม๊ครับ แต่ก่อนทำงานใหม่ๆเงินเดือนหลักหมื่น นั่งกินข้าวราดแกง และกาแฟข้างทาง อย่างอร่อย ไม่รู้สึกลำบาก เก็บเงินซื้อรถมอเตอร์ไซค์ก็ดีใจมาก ตกเย็นจิบเบียร์ลีโอก็พอ นอนห้องคอนโดที่เช่ารายเดือน ครั้นเงินเดือนขึ้นมาหลักเกือบแสน รู้สึกว่าการนั่งกินข้างทาง ทำให้ร้อน เหงื่อออก มีฝุ่นไม่ดีต่อสุขภาพ สู้นั่งกินในร้าน หรือศูนย์อาหารจะดีกว่า กาแฟชงข้างทางไม่อร่อยสู้กาแฟที่ชงผ่านเครื่องในร้านไม่ได้ ยอมผ่อนซื้อรถยนต์ญี่ปุ่นมาขับ เบียร์ลีโอกระแทกคอไป ต้องไฮเนเก้นหรือพอลลาเนอร์ น่าจะดีกว่า เริ่มผ่อนห้องคอนโดเป็นของตัวเอง พอเงินเดือนขึ้นหลักแสนกว่า จะให้มานั่งกินเบียดกันตามร้าน คงจะไม่เหมาะสม เดี๋ยวลูกน้องไปเห็น จะเสียลุค ต้องนั่งกินร้านที่เป็นส่วนตัว ติดแอร์ กาแฟที่เคยกินรู้สึกโลว์ไปขมคอ ต้องกินกาแฟสตาร์บัคส์ รสละมุนกว่า เปลี่ยนรถยุโรปดูเท่ห์กว่า เริ่มหัดกินไวน์กับชีส แทนเบียร์ วางแผนอยากมีบ้านเดี่ยว พอเงินเดือนหลายแสน แขนขาอ่อนแรง ลงไปนั่งกินใต้ตึกไม่ได้ ต้องให้คนซื้อขึ้นมาประเคน อ้างงานยุ่ง ลิ้นเทพต้องกินอลาคาส ร้านมิชลินสตาร์ หรือโรงแรมหรู มีตู้แช่ไวน์ และเครื่องชงกาแฟ ส่วนตัว รถที่ใช้ต้องให้สมหน้าตา ซื้อบ้านหรูพร้อมสระว่ายน้ำ ...... ดังนั้น รูปแบของการกินการใช้ ขึ้นอยู่กับรายได้(เงิน)และความกระแดะหรือความดัดจริตส่วนบุคคล ที่เรียกกันว่า "รสนิยม" ซึ่งส่วนใหญ่คนพวกนี้ยากที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆที่ผ่านมาได้ เพราะได้คุ้นชินกับความสะดวกสบายไปแล้ว ผมเคยกลับไปบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ไปแวะกินร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าประจำจังหวัด ที่มักจะกินตอนเด็ก จำได้ว่า เป็นราดหน้าที่อร่อยมากในตอนนั้น กินหมดแทบจะเลียจาน ใครเป็นคนยุคนั้นจะรู้ว่า ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าสมัยก่อน มีแต่เส้นใหญ่ ไม่มีให้เลือก ไม่มีใส่ไข่ ราดน้ำขลุกขลิกใส่จาน ไม่ได้ใส่ชามและราดน้ำท่วมเส้นเหมือนทุกวันนี้ และถ้าสั่งกลับบ้าน ร้านจะห่อใส่ใบตองผูกเชือกกล้วยให้ เหมือนสั่งกาแฟร้อนยังใส่กระป๋องนมผูกเชือกให้หิ้วกลับบ้าน ทำให้รู้ว่า ราดหน้าที่เคยอร่อยกลับไม่เหมือนที่เคยกินเลย สูตรก็เป็นสูตรเดิม หน้าตาอาหารก็เหมือนเดิม สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมน่าจะเป็นลิ้นคนกินที่เปลี่ยนไป คงเป็นเพราะประสบการณ์การกินที่มีโอกาสได้กินร้านอร่อยมาหลายร้าน สมองจึงเกิดการเปรียบเทียบรสชาดและตัดสินว่า ดีกว่าหรือแย่กว่า ทำให้ผมกลัวเวลาไปฟื้นคืนความทรงจำ(Refresh) เรื่องราวที่เคยมีความทรงจำดีๆในอดีต เมื่อเวลาเปลี่ยนไป อะไรๆก็เปลี่ยนตาม สิ่งที่เคยเป็นความทรงจำดีๆ อาจถูกทับด้วยเรื่องราวที่ไม่ดีมาแทนที่ จนความทรงจำดีๆในช่วงต่างๆของชีวิตที่ผ่านมา น้อยลงไปตามกาลเวลา
คงได้ยินคำพูดที่ว่า "ไม่อยากเสียเพื่อน อย่าให้ยืมเงิน" หรือ "ถ้าอยากเลิกคบใคร จงให้คนนั้นยืนเงิน" หรือ "ถ้าไม่อยากเจอใคร ลองเอาตังค์ให้มันยืม" เป็นคำพูดที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว และยืนยันว่า 90% เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ส่วนใหญ่พฤติกรรมของผู้ยืมเงิน จะคล้ายกันตั้งแต่ก่อนยืม และหลังยืม(ตอนทวง) อย่าลืมนะว่า ทันทีที่ให้เขายืมเงินแล้ว สถานะเดิมของความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ...จะเปลี่ยนไปเป็น "เจ้าหนี้" กับ "ลูกหนี้" อะไรหลายอย่างมันก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกที่เคยมีต่อกันก็ถูกทำลายลง เช่นในช่วงที่ไม่คืนเงินตามที่พูดไว้ ก็จะหลบหน้า เดินหนี , เวลาพูดคุยกันก็กลัวแต่ว่าจะทวงเงิน, บางคนอาจปิดการติดต่อเลย.. ฯลฯ มันเป็นเหมือนวัฏจักรของกรรมเวร ถ้าคุณไม่ให้เขายืม คุณจะเสียเพื่อนและโดนว่าไม่มีน้ำใจ แต่หากคุณให้เขายืมเงิน สุดท้ายคุณก็จะเสียทั้งเพื่อนและเงิน หากเราต้องการช่วยเขาจริงๆ ด้วยความผูกพันธ์ หรือเขาเคยทำดี เคยช่วยเหลือ เคยมีบุญคุณกับเรา เราอาจช่วยเหลือตามแรงที่เรามี ไม่ให้มาสร้างความเดือดร้อนหรือทำความลำบากกับเรา โดยต้องทำใจเสมอว่าอาจไม่ได้คืน ก็แล้วแต่ว่า ผู้ยืมเป็นคนดีมีสัจจะวาจาหรือไม่ ซึ่งในยุคนี้หาคนที่ทำตามคำพูด คำสัญญาได้ยากมาก บางคนยืมเงินจนติดเป็นนิสัย สร้างเวร สร้างกรรมไปเรื่อย โดยไม่พยายามพึ่งพาตัวเอง
"เงินคืออำนาจต่อรองในชีวิตทุกด้าน" คนมีเงินสามารถมีสิทธิ์ได้มากกว่าคนไม่มี มีสิทธิ์ที่จะเลือกและสร้างทางเลือก สร้างโอกาสได้มากกว่า, มีสิทธิ์ที่จะพูดแล้วคนฟัง ,สร้างความเคารพ ยกมือไหว้ได้ดีกว่า , มีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อยากเจอได้, มีสิทธิ์ที่จะครอบครองอะไรได้มากกว่า, มีสิทธิ์ในการรับบริการที่ดีกว่า ,มีสิทธิ์ให้คนมารักได้มากกว่า ใครเห็นก็อยากคบ อยากอยู่ใกล้ชิด,.....ฯลฯ อำนาจของเงินสามารถเปิดเผยธาตุแท้ของมนุษย์ได้ โดยเฉพาะตอนไม่มีเงิน ทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในช่วงที่มีเงิน , เงินเป็นสิ่งที่คมมากที่สุดในโลก ตัดได้แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่ยาวนาน มิตรภาพทำดีต่อกันมา เงินอาจไม่ใช่ทุกอย่างก็จริง แต่เกือบทุกอย่างล้วนซื้อได้ด้วยเงิน ถ้านิยามความรักและความสุขของแต่ละคนคิดต่างกัน แต่ทั้งสองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ มีสิ่งเดียวกันคือ เงิน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่มีเงินแล้วจะมีความสุขเสมอไป บางทีกลับมีทุกข์ด้วยซ้ำ บางคนก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเพื่อหาเงิน จนลืมทำในสิ่งที่ควรทำ ทิ้งบางสิ่ง ทิ้งความรู้สึกของคนรอบข้าง จนสร้างปัญหา, บางคนเอาแต่ใช้เงินซื้อทุกสิ่ง จนลืมเรื่องศีลธรรม จรรยา ทำบ่อยๆก็สร้างนิสัยติดตัว กลายเป็นปัญหาในภายหลัง, บางคนร่ำรวยจนลืมตัว ปฏิบัติต่อคนอื่นที่คิดว่าต่ำต้อยกว่าตน จนถูกมองว่าไม่ดี ,บางคนใช้เงินดูถูกคนอื่น,บางคนยอมทำสิ่งผิดๆเพื่อให้ได้เงินมา แล้วก็มานั่งทุกข์รับกรรม่ในภายหลัง,...ฯลฯ
เงินคือปัจจัยหลักสำคัญในการใช้ชิวิต โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในสังคมเมือง ทุกคนต้องใช้เงินจ่ายให้กับทุกสิ่งที่ได้ใช้ไป ไม่ว่าจะอยู่บ้าน หรือออกมาทำงาน ไม่มีของฟรีในการใช้ชีวิต จงระมัดระวังในการวางแผนการใช้เงินและไม่ประมาท เพราะถ้าไม่มีเงินเท่ากับการยอมรับชีวิตที่ลำบาก ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จงหาความสุขในการมีชีวิตโดยไม่ตกเป็นทาสของเงิน และใช้เงินให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองมากที่สุด เพื่อสร้างความมั่งคั่ง เป็นหลักประกันชีวิตของเราและคนที่เรารัก เชื่อผมเถอะว่า "ความจนมันน่ากลัว"
เงิน อำนาจ ผลประโยชน์ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ... มักจะดึงดูดคนต่างๆเข้ามาหาเรา
แต่... ช่วงชีวิตที่ตกต่ำ ย่ำแย่ ลำบาก ขัดสน มีทุกข์...
จะคัดเลือกและมองเห็นมิตรแท้ที่เราต้องการ (หรือไม่มีเลย)
(จากเว็บไซค์ drsuthichai.com)
พ่อหมูตู้