เรียนรู้จากความโหดร้ายของมนุษย์
มีภาพยนต์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสงคราม ที่ผมชอบหลายเรื่อง เช่น Schindlers List, Life is Beautiful, The Pianist,The Boy in the Striped Pajamas,.......... สะท้อนให้เห็นความโหดร้ายของสงคราม ได้เห็นการเอาชีวิตรอด การใช้ชีวิตบนความโหดร้ายของทหารนาซีในค่ายกักขัง หดหู่กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซี ยอมรับว่าดูหนังประเภทนี้แล้ว รู้สึกว่าเราโชคดีที่ไม่เกิดในยุคนั้น ส่วนตัวผมว่ามีสองเรื่องในใจที่คิดว่า ถ่ายทอดความโหดร้ายของมนุษย์ที่มีต่อกันได้ชัดเจนที่สุด โดยสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง จากประสบการณ์ของผู้ที่ประสบในเหตุการณ์นั้น นำมาถ่ายทอดและสร้างเป็นภาพยนตร์ให้คนได้รับรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ทำให้เปิดมุมมองของผมเรื่องมนุษย์ที่กระทำต่อกันบนโลกนี้ เปลี่ยนไป ได้เข้าใจผลของความเกลียดชังว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง ,การสร้างความขัดแย้ง แบ่งแยกที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกัน , สร้างความคิดความเชื่อว่ามนุษย์ไม่เหมือนกัน คนที่คิดต่างเป็นฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นต้องเข่นฆ่าให้ดับสูญไป ถ้าเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็รู้สึกหดหู่แล้ว แต่นี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกเล่าผ่านหนัง ซึ่งอยากแนะนำให้หาดู เพื่อเป็นบทเรียน ป้องกันไม่ให้เกิดกับแผ่นดินที่เราอยู่ นั่นคือเรื่อง (1) The Killing Fields และ (2) Hotel Rwanda
เรื่องแรก The Killing Fields (1984) ชื่อภาษาไทยคือ ทุ่งสังหาร หรือ แผ่นดินของใคร เป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2527 ได้รับ 3 รางวัลออสการ์ เรื่องกล่าวถึงประเทศกัมพูชาในยุคการปกครองของเขมรแดง โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องจากประสบการณ์จริงของนักข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ ซิดนีย์ แชนเบิร์ก ที่เข้าไปทำข่าวการสู้รบในสงครามกลางเมืองกัมพูชาระหว่างเขมรแดง และฝ่ายรัฐบาล โดยมีผู้ช่วยเป็นนักข่าวชาวเขมร ชื่อ ดิธ ปราน ซึ่งเป็นคนบัญญัติศัพท์คำว่า"ทุ่งสังหาร" เมื่อฝ่ายเขมรแดงเป็นผู้ชนะ สามารถยึดกรุงพนมเปญ(เมืองหลวง) ในปี พ.ศ.2518 หลังจากได้รับอำนาจ เขมรแดงได้กวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญ และเมืองสำคัญอื่นๆ มาบังคับให้ทำการเกษตรและใช้แรงงานร่วมกันในพื้นที่ชนบท นักศึกษาปัญญาชน แพทย์ วิศวกร นักปราชญ์ ศิลปิน คนที่ดูเหมือนมีความรู้ ถือเป็นภัยต่อความมั่นคง ปกครองยาก จะถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล การกระทำดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องเสียชีวิตจากการถูกสังหาร ถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยาก เป็นจำนวนประมาณ 850,000 ถึง 3 ล้านคน ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนของประชาชนที่เสียชีวิตต่อจำนวนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดในขณะนั้น (ประมาณ 7.5 ล้านคน ใน พ.ศ. 2518) ถือได้ว่าระบอบการปกครองของเขมรแดงเป็นหนึ่งในระบอบที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในหนังจะเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนและหลังกรุงพนมเปญแตก ทุกคนต้องหนีตายจากเขมรแดง ซึ่งคนกัมพูชาจำนวนมากได้หนีข้ามมาให้ไทยช่วยเหลือในตอนนั้น
เรื่องที่สอง Hotel Rwanda (2004) ชื่อภาษาไทยว่า "รวันดา ความหวังไม่สิ้นสูญ" เป็นหนังที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงของพอล รูเซซาบาจินา (Paul Rusesabagina) ผู้จัดการโรงแรมในรวันดาที่ให้ที่พักพิงแก่ชาวทุตซี(Tutsi) กว่าพันคน ในท่ามกลางสงครามกลางเมือง เพื่อหนีจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมที่กลุ่มฮูตู(Hutu) หัวรุนแรงสังหารชาวทุตซีและชาวฮูตูสายกลางกว่า 800,000 คน ในเวลาเพียง 100 วัน ภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรูเซซาบาจินาในการปกป้องครอบครัว และผู้ลี้ภัยท่ามกลางความวุ่นวายและความเฉยเมย ไร้ความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ปล่อยให้เกิดการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากคนในประเทศกันเอง เพื่อให้เข้าใจหนังเรื่องนี้มากขึ้น ว่าเป็นมาเป็นไปอย่างไร สรุปคร่าวๆดังนี้
สาธารณรัฐรวันดา (Republic of Rwanda) เป็นประเทศเล็ก ๆ ในทวีปแอฟริกา(เป็นประเทศที่ผมจำได้ว่ามีกอริลลาภูเขาอาศัย) โศกนาฏกรรมในรวันดาอุบัติขึ้นช่วงกลางปี 1994 กินเวลาราวสี่เดือน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮูตูปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มาโดยตลอด และผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์นั้นก็เป็นชาวทุตซีซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ (ในรวันดามีประชากรที่เป็นชาวทุตซีราว 14% เทียบกันกับชาวฮูตูซึ่งมีประชากรราว 85%) ก่อนที่ชาวฮูตูจะรวมตัวกันโค่นล้มระบอบกษัตริย์นี้เป็นผลสำเร็จในปี 1959 ส่งผลให้ชาวทุตซีอีกหลายชีวิตต้องอพยพไปอยู่ประเทศข้างเคียงพร้อมกับความเคียดแค้น มีการขัดแย้งและสร้างกองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลมาหลายปี กระทั่งสหภาพแอฟริกา (the Organization of African Unity-OAU) เข้ามาไกล่เกลี่ยและพยายามหาทางยุติความบาดหมางด้วยการให้มีการลงนามในสนธิสัญญาอารูชา (Arusha Accord) ในปี 1993 หากแต่ชนวนความขัดแย้งก็ยังไม่ยุติ เพราะใจความสำคัญของสนธิสัญญาคือการที่รัฐบาลรวันดาต้องแบ่งอำนาจให้ชาวทุตซี ทำให้ประชากรชาวฮูตูที่เป็นอนุรักษนิยมไม่พอใจอย่างมากและระแวงว่าชาวทุตซีอาจนำระบอบกษัตริย์กลับมาอีกครั้ง จนมาในปี 1994 ความขัดแย้งเกิดปะทุขึ้นมา จนเป็นเหตุให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน เมื่อเครื่องบินโดยสารของประธานาธิบดี ซึ่งเป็นชาวฮูตูถูกยิงตก ทำให้ชาวฮูตูคิดว่าเป็นการทำโดยฝีมือกลุ่มทุตซี ส่วนกลุ่มทุตซีก็ปฏิเสธและมองว่าชาวฮูตูนั่นแหละเป็นคนลงมือ เพื่อเป็นข้ออ้างในการต่อสู้กับพวกตน หลังโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ก็มีการการประชาสัมพันธ์ผ่านคลื่นวิทยุ และสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งในขณะนั้นถูกควบคุมโดยชาวฮูตู ให้ข่าวว่าชาวทุตซีกำลังจะนำระบอบกษัตริย์กลับมา หรือมีเป้าหมายเพื่อกำจัดชาวฮูตู ตลอดจนการสร้างภาพแทนว่าชาวทุตซีเป็นแมลงสาบ อยู่ในสถานะเป็นอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่นบอกผู้ฟังชาวฮูตูว่า ผมว่าใครก็ตามที่มีปืนอยู่กับตัวตอนนี้ควรบุกไปหาไอ้พวกแมลงสาบนั่นเดี๋ยวนี้เลย ล้อมมันไว้แล้วฆ่ามันซะ (เสียงของ คานตาโน ฮาบิมานา ในวันที่ 12 เมษายน 1994 อ้างอิงจากสหประชาชาติ) แท้จริงแล้วคลื่นวิทยุและสื่อหลายแห่งในรวันดา ไม่ได้เพิ่งมาสนับสนุนความรุนแรงในช่วงปี 1994 แต่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นและเป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 1993 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล จนสหประชาชาติออกแถลงการณ์ตักเตือนว่าคลื่นวิทยุนี้กำลังเข้าข่ายใช้วาจาสร้างความเกลียดชังแก่ผู้คนได้ แต่เจ้าของคลื่นวิทยุอย่าง เฟอร์ดินันด์ นาฮิมานา ชี้ว่าเป้าประสงค์มีไว้เพื่อตอบโต้กับคลื่นวิทยุจากอีกฝั่ง ผู้นำฝ่ายฮูตูใช้วิทยุให้การปลุกระดมมวลชนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ลองคิดดูว่าการสื่อสารข้อมูลสร้างความเกลียดชัง เกิดบ่อยๆ ซ้ำๆ ปลุกระดมให้ชาวฮูตูทุกวันๆละหลายครั้ง เหมือนล้างสมองให้เชื่อตาม ปลุกปั่นมวลชนยุยงให้ทำร้ายกันเอง เพียงเพราะเกิดมาคนละเผ่าพันธุ์กัน เช่น
"พวกคนชอบถามฉันว่าทำไมเกลียดพวกทุทซี่ ฉันตอบมันว่าไปตายซะ"
"พวกทุทซี่มันแย่งดินแดนของพวกเราชาวฮูตู มันทำให้เราอ่อนแอ"
"พวกมันเหมือนแมลงสาป"
"รวันดาเป็นดินแดนของเรา เราจะทำลายมันให้ย่อยยับ"
จากชาวบ้านธรรมดา จับกลุ่มกันเป็นกองกำลังติดอาวุธหยิบมีดหรือไม้ขึ้น ปิดถนน ค้นหาตามบ้าน พร้อมจะทำร้ายอีกฝ่าย จากเพื่อนบ้านกลายศัตรูเพราะอยู่ฝ่ายตรงข้าม ผลคือ กลุ่มฮูตูหัวรุนแรงได้สังหารชาวทุตซีและชาวฮูตูสายกลางจำนวนมากอย่างโหดร้าย ถูกสังหารหมู่ยาวนาน 100 วัน ในเวลาดังกล่าว กลับไม่มีนานาชาติไหนยื่นมือเข้าขัดขวางเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ พวกเขาทำเพียงอพยพคนของตนออกมาเท่านั้น กว่าจะมีกองกำลังนานาชาติเข้ามาควบคุม ก็มีผู้เสียชีวิตกว่า 8 แสนคน
ดูหนังทั้งสองเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นบทเรียนที่ควรนำมาป้องกันไม่ให้เกิดกับสังคมที่เราอยู่ ซึ่งก็ไม่แน่หากสังคมเรายังอ่อนแอด้านความคิด ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นได้ ถึงแม้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มีเทคโนโลยีสื่อสารที่สามารถติดต่อ เข้าถึงกันได้ทั่วโลก บริบทมันเปลี่ยนไป มนุษย์ไม่สามารถจะเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันได้เหมือนในอดีตก็ตาม แต่อย่าลืมนะว่า ความเป็นมนุษย์ยังไม่ได้เปลี่ยนไป ยังแฝงอยู่ในจิตใต้สำนึก มนุษย์มีความคิด มีความเชื่อ มีความอยากมีอยากได้ มีรักโกรธหลง มีด้านสว่างและด้านมืดของตัวเอง มีความโหดร้าย อำมหิตที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึก ... ที่พร้อมจะแสดงออกมา เมื่อมีเหตุปัจจัยไปกระตุ้น หรือปลุกมันขึ้นมา ลองคิดดูว่า ถ้ามีมนุษย์หลายๆคนในสังคมที่เราอยู่ มีความอ่อนแอด้านความคิด รับรู้ และเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ นั่นคือถูกหลอกให้เชื่อได้ง่าย หลอกให้โกรธ เกลียด ให้มองมนุษย์ด้วยกันว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เพียงเพราะคิดไม่ตรงกัน หรือขัดผลประโยชน์กัน ถูกล้างสมองให้มองว่าเป็นศัตรูกัน ต้องลงมือทำร้ายกัน มันช่างน่ากลัว ไม่ต่างจากหนังทั้งสองเรื่อง เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ในสังคมเราเอง ก็เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มีความขัดแย้งด้านความคิด การอยากมีอำนาจในการปกครอง การแบ่งพรรค แบ่งฝ่าย แบ่งขั้วอำนาจ สร้างความโกรธเกลียดต่อกัน สร้างระบบพรรคพวกของตนให้แข็งแกร่ง กลุ่มที่น้อยกว่าต้องทำตามกลุ่มที่มากกว่า ไม่ว่าจะถูกผิดหรือไม่ .........เราจะรับรู้ได้ตามสื่อต่างๆ โดยเหมากันเองว่า เป็นวิถีของระบบการปกครอง เป็นความขัดแย้งที่เป็นปกติ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม และสังคมเราก็อาศัยกรอบที่เรียกว่า "กฏหมาย"เพื่อควบคุมและจัดการกับคนทำนอกกรอบ ซึ่งก็เป็นแบบนี้มานานแสนนาน แต่หากความขัดแย้งถูกสร้างให้มากขึ้น ในวงกว้างขึ้น ผ่านการปลุกระดม สร้างความเชื่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกัน จุดติดความคลั่งบนความอ่อนแอของจิตใจ บนความคิดที่คล้อยตามสิ่งที่เชื่อ เมื่อเลยเถิด จนควบคุมไม่ได้ ผลลัพธ์จะออกมาเลวร้ายแค่ไหน ก็ได้แค่ภาวนาว่า ขออย่าให้เกิดขึ้นจริง สิ่งเดียวที่จะป้องกันไม่ให้สิ่งที่กล่าวมาเกิดขึ้น คือ ต้องมีคนดีมากขึ้น ให้โอกาสคนดีมาปกครอง มานำคน สังคมเราก็จะเข้มแข็ง สงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองก็จะตามมา ซึ่งส่วนตัวมองว่า สังคมยุคนี้หาคนดียากยิ่ง มีน้อยลง แต่เราก็สามารถเริ่มที่ตัวเราก่อน ฝึกคิดดี ทำดีต่อตัวเองและสังคม ถึงแม้จะไม่มีใครที่ดี100% แต่เป็นคนดีตามครรลองของสังคมก็พอที่จะทำให้สังคมเราดีขึ้นได้
..............................................................................................
"...ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คน ทุกคนเป็นดีได้ทั้งหมด การทำให้ บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ ทุกคนเป็นคนดี หาก แต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้ มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."
พระบรมราโชวาทจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๒ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี
พ่อหมูตู้