แชร์

บทเรียนชีวิต

อัพเดทล่าสุด: 18 ส.ค. 2025
253 ผู้เข้าชม

                    การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดมาพร้อมกันตั้งแต่เกิด เพื่อปรับตัวให้อยู่รอด ตลอดทุกช่วงของชีวิตที่ดำเนินไป เต็มไปด้วยบทเรียนให้ได้เรียนรู้ เพื่อพัฒนาและปรับตัวเองให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีความหมายมากขึ้น   บทเรียนของชีวิตที่เข้ามามีสองทางคือ (1) บทเรียนที่เกิดจากปัญหาและข้อผิดพลาดของตัวเราเองที่ทำขึ้นหรือเกิดจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้มากระทำกับเรา  และ (2) เรียนรู้จากเรื่องราวของผู้อื่นที่ผ่านมา   บทเรียนที่ดีที่สุดมาจากช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของชีวิต ซึ่งจะอยู่ในความทรงจำของเราอย่างไม่รู้ลืม   ยังมีหลายคนที่มองไม่เห็นประโยชน์ของบทเรียน ทำให้สูญเสียโอกาสในการเรียนรู้จากความผิดพลาด และต้องเผชิญกับปัญหาเดิมอยู่ซ้ำซาก ใช้ชีวิตทนอยู่กับปัญหาที่มองไม่เห็นทางออก ยอมจำนนกับการพัฒนาปรับรุงชีวิตให้ดีขึ้น แขวนชีวิตให้อยู่กับโชคชะตาฟ้าดิน เคยชินกับปัญหาที่กำลังจมอยู่ จนมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ใช้ชีวิตแบบไม่พอใจชีวิตตัวเอง ไปพร้อมกับความคิดอิจฉาชีวิตของคนอื่นที่ดีกว่า  มองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง ปิดกั้นทุกบทเรียน ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว  โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลผลิตจากความคิดตัวเอง            
             ทุกคนอาจผ่านบทเรียนที่เหมือนหรือต่างกัน จะมากหรือน้อย ไม่เกี่ยวกับอายุตัวหรืออายุงาน  ขึ้นอยู่กับโอกาส หรือประสบการณ์ที่ได้เผชิญมามากกว่า และประสบการณ์ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของบทเรียน การเผชิญกับปัญหามามากมายหลายครั้งใช้ระยะเวลาเนิ่นนาน แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์โชกโชน  บางทีต้องพิจารณาว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมามีการทำเรื่องเดิมๆ และมีการจัดการข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในลักษณะเดิมๆ ซ้ำๆ หรือเปล่า? เพราะอาจเป็นการเคยชินในใช้ความพยายามที่ไม่คุ้มค่าเพื่อจัดการในสิ่งเดิมๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดิมๆ แน่นอนจะต้องไม่มีบทเรียนอะไรเพิ่มเติมให้ได้เรียนรู้เลย ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับโอกาสของคนไว้ในบทความชื่อ "ครั้งแรกในชีวิต" เข้าไปอ่านดูใน Blog ได้เลยครับ   ต้องยอมรับว่าการเรียนรู้ในสมัยก่อนมีข้อจำกัด ไม่ได้สะดวกรวดเร็วอย่างสมัยนี้ ว่าจะเรียนรู้งานสักงานต้องใช้เวลามาก ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง นั่นหมายถึงอยากรู้อะไร ต้องลงมือเรียนรู้เอง ทำเอง รู้ผิดพลาดเอง  และเมื่อมีองค์ความรู้ก็จะเก็บไว้ในตัว(Tacit Knowledge)รอการถ่ายทอดให้กับคนอื่นต่อ รอนำมาเล่าเป็นอุทาหรณ์ หรือสอนเป็นวิทยาทานให้ผู้อื่นได้เรียนรู้   การเรียนรู้จึงถูกจำกัดในวงแคบ ไม่ได้มี social media หรือคลิปสอนทำอย่างทุกวันนี้    สมัยผมก็ถูกสอนให้รู้จักเรียนรู้การใช้วิธีทางลัด ไม่ต้องไปเสียเวลาลองผิดลองถูก หัดที่จะเรียนรู้ในกระบวนการที่ได้ทำไปแล้ว จากผู้ปฏิบัติที่เคยเจอมา ดูบทเรียนในข้อผิดพลาดที่ต้องควรระวัง  คิดต่อยอด ขยายผล และหานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ(Productivity) เน้นเรื่องการป้องกัน(Proventive) มากกว่าการแก้ไข(Corrective).....  ในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยองค์ความรู้ใหม่ๆ  มีระบบเทคโนโลยีที่ช่วยให้ได้เข้าถึงในการเรียนรู้ได้ง่าย มีแหล่งเรียนรู้มากมายให้เลือก  มีระบบป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดอย่างชาญฉลาด ชีวิตดูง่ายกว่าเดิมมาก   แต่อย่าลืมว่า ทุกช่วงของเวลาที่ดำเนินไป จะมีปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้น  มีบทเรียนใหม่ๆที่เกิดจากสถานการณ์ในบริบทใหม่ให้ได้เรียนรู้ตลอดเวลา  มีโจทย์ใหม่ๆมาให้แก้  ก็ต้องมีคำตอบใหม่ให้ได้เรียนรู้   วิทยาการความรู้ในสมัยเมื่อสิบปีที่ก่อน  อาจใช้ไม่ได้หรือล่าสมัยกับยุคปัจจุบัน  องค์ความรู้บางอย่างอีกยุคหนึ่ง อาจล้าสมัยหรือใช้ไม่ได้ในอีกยุคหนึ่ง  เหมือนเราเรียนปริญญาโทเมื่อสิบปีก่อน ความรู้ในสมัยนั้น แทบจะนำมาใช้ในปัจจุบันไม่ได้ มันเป็นไปตามกฏของการเปลี่ยนแปลง  เมื่อไหร่เราหยุดเรียนรู้ ก็เหมือนว่าเราหยุดที่จะพัฒนา เราก็จะกลายเป็นหางแถว เดินตามหัวแถวไป   
             บางบทเรียนที่ได้มา อาจต้องแลกมาด้วยบางสิ่งที่ต้องเสียไป บางบทเรียนสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ใจเสมอเมื่อนึกถึง บางบทเรียนทำให้เข้าใจกับบางคนหรือบางสิ่งได้ชัดเจน บางบทเรียนมีราคาแสนแพง บางบทเรียนเปิดตาเปิดใจให้รับรู้ในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเคยเห็น ..... ทุกบทเรียนล้วนมีต้นทุน เราควรตระหนักถึงคุณค่าของการได้มา และใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราเอง อย่าให้เกิดบทเรียนที่เกิดจากความผิดพลาดเดียวกันซ้ำๆ เพราะนั่นคือ เราต้องจ่ายค่าเรียนรู้ซ้ำๆ(ค่าโง่)ให้กับข้อผิดพลาดเดิมๆ อย่างไม่มีประโยชน์ใดๆเลยต่อตัวเอง ผมคิดถึงบทเรียนครั้งแรกที่สอนเรื่องการเชื่อใจคน ในสมัยที่เข้าทำงานใหม่ๆ เป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่งที่บ้านเกิด ในตำแหน่งพนักงานบริการลูกค้า(Authorized Teller) มีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ และบริการลูกค้า เนื่องจากหน่วยก้านดี ผู้จัดการจึงเพิ่มหน้าที่ให้ออกไปรับเงินนอกธนาคาร ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ของจังหวัด ประมาณไม่ต่ำกว่า5ที่ในแต่ละวัน โดยสลับกันกับอีกคนที่ต้องไปรับประจำทุกวัน เวลาไปรับเงินก็ต้องมีคนขับรถ มีตำรวจไปด้วย ผมเพียงเตรียมเอกสารรับเงินและกระเป๋าใบใหญ่ (บางทีก็ต้องถือปืนไปด้วย) เพราะจำนวนเงินที่รับแต่ละวันหลายแสนถึงล้าน  ซึ่งมากพอควรในสมัยนั้น และเมื่อรับเงินมาก็ต้องรีบเอามาเข้าบัญชีในวันเดียวกัน มีอยู่วันหนึ่งจำได้ว่าเป็นวันจันทร์ ขณะที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ทำงานปกติ เจ้าพนักงานที่ไปรับเงินจากนอกสถานที่แจ้งว่าสมุห์บัญชีให้เอาเงินมาเข้าบัญชี เราก็ตรวจสอบนับเงินและทำรายการรับฝากให้เป็นปกติ  ปรากฏว่า เจ้าพนักงานคนนี้ติดการพนัน ออกไปรับเงินในวันศุกร์แล้วไม่เอาเงินมาเข้าบัญชี เอาไปใช้ในเสาร์อาทิตย์ แล้ววันจันทร์จึงนำเงินมาเข้า แต่ดันเอามาฝากที่ช่องเรา ทำรายการเข้าบัญชีให้ ตอนนั้นเครียด เพราะพึ่งทำงานใหม่  โดยฝ่ายตรวจสอบเรียกซักถามพนักงานทุกคนในธนาคาร และทุกคนก็รับรองความประพฤติให้เราว่าไม่รู้เห็นกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งตอนนั้นเข้ามาทำงาน ก็ได้เป็นพนักงานดีเด่นประจำสาขาประจำปี เพราะขยัน ว่างงานตัวเองก็ช่วยงานทุกคน ได้เรียนรู้งานธนาคารเกือบทุกแผนก ไว้จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์ในธนาคารยุคนั้นให้ฟัง   สุดท้ายเจ้าพนักงานคนที่ทุจริตมีความผิด ต้องรับโทษ และผูกคอตายในเรือนจำในเวลาต่อมา เป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ทำให้ระมัดระวังเรื่องการไว้ใจคน ต้อง Recheck ทุกครั้ง และต่อมาได้ขอย้ายเข้ามาทำงานที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ จนเวลาล่วงมาหลายปี มาทราบภายหลังจากข่าวว่า เกิดเหตุปล้นเงิน มีพนักงานธนาคาร(ที่เราเคยอยู่) ถูกยิงตายหน้าสำนักงาน....ขณะเข้ารับเงินจากลูกค้า พร้อมตำรวจ ตอนนั้นรู้สึกขนลุก เพราะนั่นมันพี่คนที่เราเคยรู้จัก มาทำหน้าที่แทนเราที่ย้ายมา ถ้าเรายังอยู่ที่สาขาล่ะ? ไม่อยากคิดเลย มันเป็นเรื่องจังหวะชีวิต!!!  คุณรู้ไหม๊ แม้แต่สัตว์เลี้ยง ที่เรามักจะคิดว่ามันคิดไม่ได้ เป็นเดรัจฉาน มันยังเรียนรู้จากบทเรียนแย่ๆของมันเลย French Bulldog ที่บ้านชื่อ "หมูตู้" ทุกวันที่เปิดเข้าร้าน เขาจะยืนข้างๆยื่นหน้าแบนๆดูพ่อไขแม่กุญแจคล้องเข้าบ้าน มีอยู่วันหนึ่งขณะที่กำลังไขกุญแจ ได้ทำแม่กุญแจหลุดมือ หล่นลงมาโดนหัวเจ้าหมูตู้ รู้สึกสงสารและเจ็บแทน ดีที่พันธุ์นี้อึดถึกทน จึงไม่เป็นอะไร ตั้งแต่วันนั้นมา เวลาไขกุญแจ เจ้าหมูตู้จะยืนห่างออกไป ไม่มายืนใกล้เหมือนเดิม หรือตอนเป็นหมาน้อย เขาเคยเดินตกสะพานไม้ข้ามบ่อเลี้ยงปลาคารฟที่บ้าน(ตอนนี้ถมแล้ว) มีอยู่วันหนึ่งเขาวิ่งเล่นตามประสา และพลาดเดินตกลงไปในบ่อ จากนั้นมากลายเป็นหมากลัวสะพาน จะไม่กล้าเดินข้ามสะพานไม้ ถ้าจำเป็นต้องข้าม จะต้องให้อุ้มข้ามอย่างเดียว    
             มนุษย์ทุกคนย่อมทำผิดพลาดได้ เป็นเรื่องปกติ คนที่ทำมาก ย่อมมีข้อผิดพลาดมาก แต่ต้องนำความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เพื่อเรียนรู้ที่จะไม่ให้เกิดการทำผิดพลาดขึ้นซ้ำอีก  หากยังทำผิดพลาดซ้ำๆอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือไม่ได้เรียนรู้และยังคงใช้ชีวิตจมอยู่ในบ่อแห่งความโง่เขลาที่ไม่สามารถปีนป่ายออกมาได้   บางบทเรียนเรายังมีโอกาสแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น อยู่ที่เราจะใช้โอกาสที่มีหรือไม่   แต่บางบทเรียนเราแทบไม่มีโอกาสได้แก้ไข ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผลของความผิดพลาด จะกลายเป็นความทรงจำที่สร้างบาดแผลในใจของเราอย่างไม่รู้ลืม และจะติดตัวเราตลอดทั้งชีวิต ซึ่งเราก็ทราบดีว่า เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้    สิ่งที่แย่สุดของการเรียนรู้คือการมองไม่เห็นบทเรียนจากความผิดพลาดของตัวเอง หรือมองไม่เห็นว่าตัวเองทำผิดพลาด และแย่ไปกว่านั้นคือ การโทษคนอื่น โยนความผิดให้คนอื่น โทษสิ่งแวดล้อม โทษโชคชะตาฟ้าดิน...  ซึ่งอาจเป็นกลไกการป้องกันตัว (Defense Mechansim)ของมนุษย์แบบหนึ่ง ที่เกิดจากจิตใต้สำนึก เพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ที่รู้สึกด้านลบต่อตัวเอง จึงทำให้ไม่เกิดความรู้สึก "สำนึกผิด" และจะไม่นำไปสู่การกระทำที่เรียกว่า"การแก้ไขปรับปรุง"  หากมีกระทำบ่อยๆจนเป็นนิสัย อาจนำไปสู่พฤติกรรมของมนุษย์ที่เรียกว่า "High-Conflict People (HCP)" หรือคนที่ขยันสร้างปัญหา เป็นตัวการของความขัดแย้ง แต่กลับลอยตัวเหนือทุกอย่าง เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นต้นตอของปัญหาใดๆ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและสังคมเป็นอย่างมาก    การมองเห็นความผิดพลาดของตัวเองจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องตระหนักรับรู้ก่อน และการที่จะมองเห็นได้ ต้องอาศัยมุมมองความคิดด้านการพัฒนาตัวเอง ลดความเป็นอคติ ลดความเป็นตัวตน ซึ่งมาจากการพัฒนากรอบความคิดและอารมณ์  ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ผ่านการเรียนรู้จากรูปแบบที่ถูกต้องและมีศีลธรรมอันดี   
             เชื่อว่า บทเรียนชีวิตของบางคน อาจเป็นอุทาหรณ์ เป็นคำสอน เป็นตัวอย่าง เป็นสิ่งเตือนใจ ... ให้เป็นประโยชน์กับคนได้หลายคน  ขึ้นอยู่กับว่าได้มีการถ่ายทอดความรู้ที่ผ่านมาให้กับคนอื่นได้มีโอกาสรับรู้ และเรียนรู้หรือไม่   หรืออาจไม่มีประโยชน์ใดเลย เป็นเพียงเรื่องราวการใช้ชีวิตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ที่เก็บไว้เป็นเพียงความทรงจำเฉพาะของตัวเอง ติดตัวไปจนตาย หายไปในที่สุด    ทุกคนล้วนอยากมีความทรงจำที่ดีๆ และอยากลืมเรื่องแย่ๆในชีวิตที่ผ่านมา ในความเป็นจริง เราไม่สามารถล้างความทรงจำได้ทั้งหมด และสมองมนุษย์มีระบบเก็บที่ซับซ้อน ความทรงจำที่เราอยากลืม อาจผุดขึ้นมาให้รู้สึก เมื่อมีเหตุและปัจจัยไปเปิดมันออกมา   ดังนั้นในทุกช่วงชีวิต เราควรมีสติที่ต้องอาศัยกรอบความคิดที่ดี เพื่อพัฒนาปรับปรุงตัวเองจากบทเรียนที่ผ่านมา ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีคุณค่า มีความหมาย และเป็นประโยชน์ต่อตัวเราและคนรอบข้าง   

    
 "Anyone who has never made a mistake, has never tried anything new" 
 Albert Einstein 

 

พ่อหมูตู้


บทความที่เกี่ยวข้อง
หมูปิ้งที่ถูกทำให้แตกต่าง
เล่าถึงความใส่ใจในการขายสินค้าและบริการ กับความพึงพอใจของมนุษย์
30 มี.ค. 2025
พูดแล้วได้อะไร? .. ไม่พูดแล้วได้อะไร?
ความเข้าใจ และให้ความสำคัญของการคิดทบทวนก่อนที่จะพูดออกไป ว่าได้หรือเสียประโยชน์
6 ก.ย. 2025
เรียนรู้จากความโหดร้ายของมนุษย์
เล่าเรื่องความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน จากหนังสองเรื่อง
29 ส.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy