แชร์

บทเรียนจากหมาตัวแรก

อัพเดทล่าสุด: 9 มิ.ย. 2025
73 ผู้เข้าชม

                   ถ้ามีคำถามว่า "เริ่องที่ทำให้เสียใจที่สุดในชีวิตคืออะไร"  ผมอยากบอกว่า มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เก็บไว้ในใจ เป็นตราบาป เป็นปมที่รู้สึกเสียใจ และเจ็บปวด เวลานึกถึงเรื่องนี้  และคิดว่าคงติดในความคิดและหลอกหลอนไปจนวันตาย   ในช่วงเริ่มทำงานที่บริษัท Software house ของธนาคารแห่งหนึ่ง ได้ซื้อหมาพันธุ์เชาเชามาจากฟาร์มเลี้ยงหมาแถวลาดพร้าว ตั้งชื่อว่า "โบอิ้ง"  เป็นหมาร่างยักษ์ ขนสีดำ ลิ้นดำ  ดูแล้วเหมือนหมีควาย  เอามาเลี้ยงตั้งแต่อายุ 1 เดือน นิสัยพิเศษของหมาพันธุ์นี้คือ รักและเชื่อฟังเจ้านายคนเดียว  มีเรื่องเล่าว่า หมาพันธุ์นี้กระโดดเข้าบ้านที่กำลังไฟไหม้ เพื่อไปลากเจ้าของออกมา   สมัยก่อนเป็นหมาที่ใช้ลากเลื่อนพื้นที่หิมะ เพราะแรงเยอะมาก     อยู่ด้วยกันมาหลายปี จนผมสร้างบ้านใหม่ (ประชาชื่น) ที่อยู่ห่างจากบ้านเดิม(สะพานควาย)  และได้ย้ายของเข้ามาอยู่บ้านใหม่  ในตอนนั้น  ยังไม่สามารถเอาเจ้าโบอิ้ง  มาอยู่ด้วยได้ เพราะเวลาออกไปทำงานทุกวัน จะไม่มีใครดูแลเขา  จึงตัดใจให้อยู่ที่บ้านเดิม เป็นภาระให้กับพี่เลี้ยงและน้องชายไปก่อน  จนกว่าจะหาคนมาทำงานบ้านได้ ก็จะเอาเขามาอยู่ด้วย     ช่วงนั้น ออกจากบ้านไปทำงานทุกวันตั้งแต่เช้า   กลับดึกเกือบทุกวันหลังสองทุ่ม   ทำงานจนลืมทุกสิ่ง  เรียกว่า บ้าทำงาน  มีแต่งานเร่งด่วน งานแก้ปัญหา  ทำงานจนลืมเจ้าโบอิ้ง เพราะคิดว่าเขาคงไม่มีปัญหาอะไร มีคนดูแลเขาอยู่ ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก   เพราะยังเป็นผู้ใหญ่ที่คิดไม่เป็นในตอนนั้น  จิตไม่ได้ละเอียด  ไม่ได้ถูกฝึกให้มีมุมมองที่ถูกต้อง  มีตา แต่มืดบอด มองไม่เห็น   จึงทำให้ใช้ชีวิตไปตามรูปแบบของสังคม  มองข้ามแก่นของชีวิตที่มีค่ากว่า และควรรักษาไว้   ยอมรับว่า "โง่เขลาเบาปัญญา"      จนผ่านมาหลายเดือน  เจ้าโบอิ้ง ป่วยเพราะชอบไปนอนในห้องน้ำ ทำให้ปอดชื้น คงเพราะเขาเป็นหมาที่ขี้ร้อน แม่บ้านเป็นคนพาไปคลีนิครักษาสัตว์แถวบ้าน แล้วโทรบอก  จำได้ว่าวันที่ไปเยี่ยม  สภาพเขาแย่มาก นอนให้น้ำเกลือ วิตามิน หายใจหอบๆ  สายตาที่มองมา เหมือนจะร้องไห้  เราได้แต่กอดเขา ลูบหัว  ได้แต่บอกให้อดทน สู้ๆนะลูก    แล้ววันต่อมาก็เสีย  ในวันที่รับศพไปเผาที่บริษัทเอกชน  ผมติดงานด่วนไม่สามารถไปได้  มีแต่แม่บ้านทำแทนให้  เสร็จงานก็รีบไปรับเถ้ากระดูกมาฝังไว้ใต้ต้นลีลาวดีที่บ้านใหม่    แล้วแต่บอกว่าต่อไปมาอยู่กับพ่อตลอดไปนะ  รู้สึกเสียใจที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ มันสายไป สงสารเขาที่ในวาระสุดท้ายก็ไม่มีคนที่เขารักอยู่กับเขา    จากวันนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เลี้ยงหมาแล้ว  ไม่อยากเจ็บปวดจากการจากลา     แล้วเมื่อทุกสิ่งผ่านไป  วันเวลาได้สอนให้มีการเติบโตด้านความคิดมากขึ้น  เมื่อหวนคิดถึงเจ้าโบอิ้งทีไร รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลเขาให้ดี ทิ้งให้เขาตาย ถ้าเราไม่เอาแต่ทำงาน  ให้เวลาเขาบ้าง  รู้จักพาเขามาอยู่ด้วย  เขาน่าจะไม่ตาย ก็รู้ว่าเขารักเราคนเดียว วันคืนที่ผ่านไป เขาคงคิดถึงแต่เรา แต่เราไปมีความสุขในเรื่องอื่น ไปใช้เวลากับเรื่องอื่น  .......  น้ำตาไหลออกมาเองทุกครั้งที่คิดถึงเขา      เป็นกรรมที่แบกรับ ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้       จนผ่านมาหลายปี มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิต  ทั้งเรื่องงาน เรื่องรัก เรื่องพี่น้อง   ทำให้ต้องตัดสินใจทิ้งทุกสิ่ง  กลับมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว กลายเป็นคนที่อยู่คนละโลกกับทุกคน  รู้สึกล้มเหลวไปทุกอย่าง   ได้แต่คิดลบ วนเวียนในหัว  กับความเหงาที่หันไปหาใครไม่มี    เหมือนรู้สึกว่าไม่มีจุดหมายของชีวิต  จนรู้สึกเองว่า เสี่ยงที่เข้าสู่ภาวะการเป็นโรคซึมเศร้า   จู่ๆความคิดก็รู้สึกต้องการหาอะไรมาชดเชยในสิ่งที่กำลังขาด นั่นคือ "เพื่อน"   ถึงเวลาต้องหาอะไรมาเลี้ยงเป็นเพื่อนแล้ว  เพื่อแก้ปัญหาไม่อยากเป็นโรคซึมเศร้าตามที่ดูในทีวี    มองไปที่ นกกะตั้ว  แมวยักษ์  กระต่ายยักษ์....  สุดท้ายมาจบที่หมา  ซึ่งก็ขัดกับที่เคยสัญญาว่าจะไม่เลี้ยงอีก นอนคิดหลายคืน และสัญญาว่า หมาตัวต่อไป  จะรักเขาให้มากที่สุด จะไม่เป็นเหมือนที่ทำกับเจ้าโบอิ้งแล้ว  อยากไถ่โทษ    และก็ไปดูตัวที่ฟาร์มเฟรนด์บลูด็อกแถวดอนเมือง  เจ้าของฟาร์ม เอาลูกหมาน้อยมาให้ดู 6-7 ตัว ไม่ชอบ กำลังจะกลับ   เขาก็บอกว่า ยังเหลืออีกตัว เป็นหมาที่ฝรั่งมาซื้อแล้ว แต่ติดปัญหาเอาขึ้นเครื่องบินไม่ได้   ภาพแรกที่เจอคือ เขาเดินออกมาอย่างร่าเริง เหมือนจ่าฝูง  วิ่งมาทักทายทุกตัวก่อนวิ่งมาหาเรา  หูใหญ่ ตัวย่น  อารมณ์ดี  เป็นตัวพิเศษคือ ตัวย่น ตัวใหญ่กว่าปกติ   เรียกว่า เป็น rare item   กำลังชั่งใจ และจุดจ่ายตังค์ก็มาถึง เมื่อเราพูดกับเขาว่า "จะไปอยู่กับพ่อไหม๊ ถ้าจะมาอยู่กับพ่อให้ขึ้นมานั่งตัก"   พูดเสร็จ หมาตัวน้อยก็กระโดดขึ้นมานั่งตัก     ขณะนั่งรถพากลับ ก็ตั้งชื่อว่า  "หมูตู้"  เป็นสำนวนอีสาน ที่มีความหมายว่า ทำอะไรได้ง่ายๆอย่างราบรื่น   ตั้งแต่รับเจ้าหมูตู้มาอยู่ด้วย  ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง  โดยเฉพาะการมีภาระเพิ่มขึ้น ไม่มีเวลามานั่งซึมเศร้าอีกแล้ว 
                ผ่านมา 4-5 ปี   เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา  ไม่เคยทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวนานๆ  แทบไม่ออกไปไหน มีธุระก็รีบไปรีบกลับ   ไม่เดินเล่นห้าง ไม่กินของอร่อยตามร้าน  ไม่ไปแหล่งที่หมาไปด้วยไม่ได้   อีกทั้งหมาพันธุ์นี้ขี้ร้อน ติดคนมากกว่าหมาพันธุ์อื่น   ผมต้องเปลี่ยนการนอนบนเตียงชั้นสอง มานอนบนโซฟาแคบๆชั้นหนึ่ง  เพราะช่วงแรกปล่อยให้เขานอนชั้นหนึ่ง  ทุกคืนเวลาผมจะขึ้นนอนชั้นบน  เขาจะมานั่งตัก ไม่ยอมให้ขึ้น  และทุกเช้าเขาจะมานั่งรอหัวบันได รอผมลงมา     จนมาวันหนึ่งเขาป่วย ต้องลงมานอนเฝ้า จากวันนั้น ผมก็ไม่ได้ขึ้นไปนอนเตียงเหมือนเดิม รู้สึกสงสาร และไม่อยากให้เขาคิดว่าเราทิ้งเขา  ซึ่งต้องแลกมากับหลังที่ปวดเมื่อยมาก   ยอมทิ้งชั้นสองของบ้าน ลงมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา   เคยได้ยินคนหลังบ้านบอกว่าเป็นบ้านร้าง  สมควรที่เขาจะคิดแบบนี้ เพราะลองคิดดู  บ้านเดี่ยวที่มืดมิด มีเพียงแสงจากหลอดไฟหลอดเดียว จากโต๊ะทำงานชั้นล่าง  กลายเป็นคนชอบอยู่กับความมืด  มีเพียงเสียงจากทีวีเป็นเพื่อน  กับหมาน้อยนอนข้างๆ    ชินก็การอยู่แบบเงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร   ต้นไม้รอบบ้านรกชัฏ  นานๆถึงจะตัดออก ใครมาอยู่แบบผมรับรองหลอนแน่  บางคืนมีเสียงของตกแบบไม่มีสาเหตุ   จนรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว  แต่ผมคุ้นชิน จนเห็นเป็นปกติแล้ว     ทุกคืนที่ผมเข้านอน ประมาณหลังเที่ยงคืน  เจ้าหมูตู้จะเดินมานอนข้างๆ แถมนอนกรนอีก      สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งคือทุกคืนก่อนเข้านอนจะพา หมูตู้ ออกมาฉี่ที่สวนหน้าบ้าน  และเขามักจะไปนั่งที่โปรดของเขาบริเวณที่ใต้ต้นลีลาวดี ซึ่งเป็นที่ผมฝั่งเถ้ากระดูกเจ้าโบอิ้งไว้             
               เล่ามายืดยาว เพียงอยากบอกคนที่กำลังคิดจะเลี้ยงหมาว่า   ก่อนอื่นเราต้องสำรวจตัวเองว่า เรามีเวลามากพอที่จะอยู่กับเขาไหม๊   เราสามารถที่จะอยู่กับเขาจนรู้ว่า เขาต้องการอะไร อยากได้อะไร  อย่าลืมนะว่า เราพรากเขามาจากครอบครัว  เขาไม่มีใคร เขามีเราเพียงคนเดียวบนโลกนี้  เขาฝากชีวิตไว้กับเรา   เขาพูดไม่ได้ เขาพูดบอกเราไม่ได้ว่าต้องการอะไร อยากให้ทำอะไร  เขาไม่สามารถยกของ ถือของเองได้   การสื่อสารของเขาทำได้เพียงมองดูพฤติกรรมท่าทีของเรา หรือฟังเสียงเท่านั้น      หากเรายังไม่มีความพร้อม ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเขาได้ดี  ขอให้เลิกล้มความคิดที่จะเลี้ยง อย่าเอาเขามาทรมาน มาลำบากกับการไม่ดูแลใส่ใจของเรา    อย่าเลี้ยงเพราะเป็นแฟชั่น หรือชอบเพียงชั่วคราว กับการตัดสินใจง่ายๆ  และหากเราไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ  ไม่เคยแคร์ความรู้สึกที่เขามีให้เรา  จงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม  ซึ่งนั่นคือบทเรียนจากหมาตัวแรกของผม  ที่ยังทำให้ใจเป็นทุกข์จนถึงทุกวันนี้    เนื่องจากย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ผมสามารถทำปัจจุบันให้ดีที่สุด   ความรักของเขาเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เขาไม่ต้องการสิ่งใดจากเรา ขอเพียงเราให้ความรักกับเขาก็พอ  ดูแลเขาให้ดี แล้วเราจะพบว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจเรื่อง การมีความหมายต่อการมีชีวิตอยู่ .....

               

พ่อหมูตู้


บทความที่เกี่ยวข้อง
คำมั่นที่หลอกลวง
คำมั่นจากคำพูดของมนุษย์ที่มักจะไม่รับผิดชอบ
8 มิ.ย. 2025
Mad Unicorn
ความรู้สึกหลังดู Mad Unicorn
7 มิ.ย. 2025
ช้างในห้อง An elephant in the room
An elephant in the room
30 พ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy