พูดแล้วได้อะไร? .. ไม่พูดแล้วได้อะไร?
ตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ Homo sapiens (โฮโมเซเปียนส์) หรือมนุษย์ปัจจุบัน เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกาเมื่อประมาณ 300,000 ถึง 200,000 ปีก่อน โดยมีวิวัฒนาการจากประชากรโฮมินินที่หลากหลายในทวีปแอฟริกา ก่อนที่จะแพร่หลาย เดินทางออกจากทวีปแอฟริกาไปตั้งรกรากตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และก็ได้พบกับมนุษย์สายพันธุ์อื่นๆ ที่เก่าแก่กว่าในระหว่างการย้ายถิ่นฐาน แต่ มนุษย์ปัจจบัน ก็อยู่รอดมาได้ โดยน่าจะมีสาเหตุมาจากความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่และการปรับตัว ที่ดีกว่า และดำรงอยู่มาได้ จนถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกในปัจจุบันล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์สายพันธฺ์โฮโมซาเปียน ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันออกไปก็ตาม โฮโมเซเปียนส์ยุคแรกสุดมีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างเรียบง่าย แม้ว่าจะมีความก้าวหน้ามากกว่าสายพันธุ์ใดๆ ก่อนหน้า จากหลักฐานของพฤติกรรมเชิงสัญลักษณ์ปรากฏตามแหล่งโบราณคดีหลายแห่งในแอฟริกาเมื่อประมาณ 100,000 ปีก่อน จนกระทั่งประมาณ 40,000 ปีก่อน วัฒนธรรมที่ซับซ้อนและล้ำสมัยจึงปรากฏขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาของมนุษย์ มนุษย์มีความสามารถในการคิดและสื่อสารเชิงสัญลักษณ์หรือจดจำได้ดีขึ้น เริ่มมีการสื่อสารของกลุ่มมากขึ้น จนพัฒนาเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกัน และภาษาที่เป็นตัวอักษรในเวลาต่อมา ตราบจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มีการสื่อสารกันตั้งแต่เกิดป็นทารกแล้ว เรียนรู้จากพ่อแม่ ให้สามารถพูดสื่อสารได้ การเปล่งเสียงพูด จึงเป็นทักษะแรกของมนุษย์ที่ใช้เพื่อสื่อสารได้มากที่สุดในบรรดารูปแบบของการสื่อสารทั้งหมด
การที่มนุษย์จะพูดได้เป็นประโยค เป็นคำ เพื่อใช้สื่อสารกัน ต้องอาศัยการรับรู้ผ่านอวัยวะรับความรู้สึก และผ่านการทำงานของระบบสมอง ในการจดจำ วิเคราะห์ และประมวลผลความคิด ก่อนที่จะพูดออกมา ซึ่งทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ ลองคิดดู ถ้าเราจับเด็กทารกที่พึ่งเกิดใหม่ ไปอยู่ในพื้นที่เงียบ ไร้เสียง ให้เติบโตมา โดยไม่ให้ได้ยินเสียงใดๆเลย ท่านว่ามนุษย์คนนี้จะพูดได้ไหม๊ คงได้แต่เปล่งเสียง หรือแสดงท่าทางจากภาพที่ตามองเห็นพฤติกรรมต่างๆ นั่นคือไม่ต่างจาก "คนหูหนวก"ตั้งแต่เกิด ถึงแม้ระบบการพูดยังเป็นปกติ แต่ก็ไม่สามารถพูดเป็นคำอย่างมีความหมายได้ เพราะถูกปิดการได้ยินไว้ ดังนั้น ความสำคัญของอวัยวะของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทุกส่วนมีความสำคัญเท่ากัน ขาดกันไม่ได้
ผมเคยเขียนบทความเรื่อง "คิดก่อนพูด หรือ พูดก่อนคิด" ใน blog ของผม และก็มีผู้รู้หลายคนได้เขียนเรื่องการพูดไว้มากมายบนสื่อโซเชียล มีทั้งเทคนิค วิธีการที่น่าสนใจ ค้นหาอ่านกันได้เลย ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า การพูดที่ดี เป็นการสื่อสารความคิดออกไปอย่างชัดเจน ตรงประเด็น เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ฟังรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้พูด ผมจะแบ่งการพูดออกเป็น ทางการ และไม่เป็นทางการ นั่นคือแบบทางการคือ เราต้องผ่านการเตรียมตัว เตรียมข้อมูลที่จะพูด วางแผนการพูด วิเคราะห์ผู้ฟัง เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม ใช้น้ำเสียงและท่าทางที่ประกอบการพูดให้น่าฟัง รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟัง .... ส่วนการพูดที่ไม่เป็นทางการ ผมหมายถึงการพูดที่ไม่ต้องมีการเตรียมตัว หรือเรียกว่า "ด้นสด(improvisation)" เป็นการพูดสนทนากันทั่วไป(dialogue) รวมถึงการพูดเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ระหว่างกัน สำหรับบทความนี้ ผมจะเล่าถึง การพูดแบบไม่เป็นทางการ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เป็นเทคนิคที่ได้เรียนรู้มา และใช้ได้ดี หากรู้จักพัฒนาความคิด และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนเรื่อง ระบบการพูดของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกันของหลายระบบ ได้แก่ ระบบหายใจ (ปอด, หลอดลม, สายเสียง) ที่สร้างเสียง, ระบบกล่องเสียงและช่องเสียง (ปาก, ลิ้น, คอ) ที่ปรับเปลี่ยนเสียงให้เป็นถ้อยคำ, และสมองที่ควบคุมกระบวนการทั้งหมด ทำให้มนุษย์สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดเพื่อสื่อสารความคิดและความรู้สึกได้ ผมว่าทุกคนก็คงทราบดีอยู่แล้ว แต่ผมอยากจะพูดถึงระบบสมองที่ควบคุมการพูดของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้ายเป็นหลัก โดยมีพื้นที่สำคัญได้แก่
(1 ) Broca's Area:ตั้งอยู่ในสมองส่วนหน้า (frontal lobe) มีหน้าที่ในการสร้างและควบคุมการพูด การออกเสียง และลำดับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด
(2) Wernicke's Area:อยู่ในบริเวณด้านหลังของสมองส่วนหน้า ใกล้กับศูนย์กลางการได้ยิน ทำหน้าที่รับและประมวลผลข้อมูลทางภาษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหมายของคำพูดและสร้างคำตอบเพื่อสื่อสารต่อไป
(3) Arcuate Fasciculus:เป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่าง Broca's Area และ Wernicke's Area ทำหน้าที่ส่งต่อข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว เพื่อให้สามารถสร้างคำพูดที่เข้าใจได้
โดยปกติเมื่อมนุษย์ได้ยิน หรือก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ต้องผ่านกระบวนการทางสมองทั้งสามส่วนนี้ก่อน ผมเรียกเองว่า "ระบบหน่วงเวลา" เพื่อให้สมองได้ประมวลผลก่อนพูดออกไป คนที่มีการคิดทบทวนก่อนพูดออกไป ย่อมมีผลดีกว่า คนที่พูดแบบไม่คิดถึงผลกระทบของคำพูด เราจะเห็นได้จากเวลามนุษย์ที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกนำความคิด ได้ยินแล้วสวนขึ้นมาเลย ไม่ผ่านการคิดไตร่ตรอง ไม่ให้เวลาสมองได้มีเวลาประมวลผล ปล่อยให้คำพูดเป็นไปตามอารมณ์ของผู้พูด ที่เรียกว่า"พูดไม่คิด" สังเกตุเห็นได้ เวลาคนทะเลาะ วิวาท ด่ากัน เราจะเห็นแต่การระเบิดของอารมณ์ล้วนๆ ซึ่งไม่มีผลต่อต่อกันเลย ส่วนคนที่มีวุฒิภาวะที่ดี จะคิดทุกครั้งก่อนที่จะพูด และคิดถึงผลกระทบของการพูดทุกครั้ง มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ผมมักใช้เตือนสติ คือ "พูดแล้วได้อะไร ไม่พูดแล้วได้อะไร"
คำว่า"พูดแล้วได้อะไร" เพื่อเตือนให้คิดก่อนพูดเสมอว่า ผู้ฟังจะได้ประโยชน์จากคำที่เราพูดออกไปหรือไม่ มีคนเสียหายหรือเสียประโยชน์หรือรู้สึกไม่ดีต่อคำพูดเราไหม๊ ถ้าพูดแล้วดีต่อตัวเราคนเดียว แต่ผู้ฟังรู้สึกแย่ หรือพูดแล้วคนอื่นโอเค แต่ตัวเราเองกลับรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่พูดไป เราก็ควรเลือกที่จะไม่พูด หรือเงียบดีกว่า ทั้งนี้ต้องคิดเทียบว่า ถ้าไม่พูดแล้วจะได้หรือเสียอะไรด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเห็นว่าร้านขายหมูปิ้ง เสียบชิ้นมันหมูหนาแทรกระหว่างชิ้นเนื้อมากจนเกินไป จนกลายเป็นหมูปิ้งที่มีมันหนาเยิ้ม ข้าวเหนียวก็เย็นและแข็งมาก จู่ๆเราไปพูดบอกเจ้าของร้านที่กำลังปิ้งขายอยู่หน้าร้าน เราต้องดูก่อนว่า เขามีนิสัยอย่างไร ยอมรับความจริงไหม๊ เขารับฟังเสียงลูกค้าไหม๊ เป็นมนุษย์อีโก้สูงไหม๊ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์การดูลักษณะของคนให้เป็น รวมถึงต้องมีความสนิทที่สามารถพูดได้ หากคิดว่าถ้าพูดออกไปแล้ว เขามีความคิดค้าน มองว่า เรากำลังตำหนิสินค้าของเขา ซึ่งมันก็ทำมาดีอยู่แล้ว ตัวเราเองที่ไม่ดี หรือถ้าไม่พอใจ ไม่ชอบ ก็ไม่ต้องมาซื้อ (หุบปากไป) หรือ เราอาจจะถูกด่าก็ได้ เสียหมาไปปล่าวๆ แบบนี้คงไม่ต้องพูดน่าจะดีกว่า ไม่ได้อะไร ปล่อยให้เขาทำแบบนี้ไป และเราก็ควรเปลี่ยนไปซื้อร้านอื่นจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่หากพูดแล้ว เขายินดีที่จะปรับปรุง และน้อมรับคำตำหนิ ก็เป็นสิ่งที่ดี ซึ่งต่อไป ตัวเราและลูกค้าคนอื่นๆก็จะได้กินหมูปิ้งที่มีมันน้อยลง ได้กินข้าวเหนียวที่นิ่มและยังร้อนอยู่ ส่วนเจ้าของร้านก็ขายดีขึ้น ซึ่งสมัยนี้คนที่ยอมรับความจริงหายากมาก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับฟังเสียงของลูกค้า(voice of customer) เพราะมนุษย์มีอีโก้ มีตัวตนสูง จนปิดหู ปิดตา ไม่รับรู้เรื่องไม่ดีของตัวเอง อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมว่าทุกคนน่าจะเคยพบเห็นเป็นประจำ คนมักง่ายที่ชอบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ หรือจักรยานย้อนศรทั้งบนถนน และบนทางเท้า สร้างความลำบาก เดือดร้อนให้คนอื่น โดยไม่รู้สึกสำนึกผิด แต่เวลามีใครพูดบอกเขา ส่วนใหญ่ก็ชักสีหน้า แสดงความไม่พอใจ หัวเสีย เหมือนถูกตำหนิอย่างรุนแรง ราวกับว่า ตัวเราเป็นคนหาเรื่อง หรือเป็นตัวปัญหาของเขา หลายคนจึงทำใจที่จะหลีกเลี่ยงไม่อยากทะเลาะ ไม่กล้าที่จะบอก เพราะคิดแล้ว ไม่มีประโยชน์และเสียเวลาที่จะไปพูดกับคนที่มีความบกพร่องด้านความคิดของพวกเขาต่อสาธารณะ ที่ทำให้พวกเขาคิดต่างจากเรา พูดไปก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้อะไร คิดเสมอว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามพูดความจริงให้คนที่ไม่รู้สึกผิดได้สำนึก " เสียเวลา เสียอารมณ์ ทั้งๆที่เราก็รู้ดีว่า การปล่อยให้คนทำผิดแบบนี้ ทำให้สังคมโดยรวมเสื่อมลงก็ตาม แต่เราต้องยอมรับว่า ในยุคนี้ พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ในสังคมเรา รักความสะดวกสบาย ขาดวินัย ไม่รักษากฏระเบียบ ไม่เห็นอกเห็นใจกัน เอาเปรียบกัน แข่งขันกันไปทุกเรื่อง.... นับวันยิ่งมีมากขึ้น แต่ความมีอารยะ หรือเป็นศิวิไลซ์ลดลง ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป ทำอะไรไม่ได้ รอจนกว่าจะมีคนที่เจริญแล้วในสังคมทนไม่ได้ รวมตัวกันจัดระเบียบสังคมกันใหม่
สำหรับหลายคนที่ยังทำงานประจำในองค์กร อาจเคยพบเจอกับมนุษย์ที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีอำนาจ ระดับหัวหน้างาน ผู้บริหาร หรือผู้นำองค์กร จนถึงหัวหน้าหน่วยงาน ที่มักแสดงพฤติกรรม การใช้คำพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยไม่สนใจเรื่องผลกระทบต่อความรู้สึก ซ้ำร้ายบางคน เคยชินกับนิสัยการพูดเพื่อแสดงอำนาจ หรือต้องการเอาชนะ หรือเพื่อสะใจ ใช้อารมณ์นำความคิด ใช้ความอคติตัดสินถูกผิด ปกครอง ดูแลลูกน้องด้วยความพอใจ หรือเอาแต่ใจ จนทำเกินเลยไปกว่าการสั่งงาน การดูแลควบคุมการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่พึ่งจะปฏิบัติต่อกัน สังเกตุพฤติกรรมของมนุษย์พันธุ์นี้ได้ง่าย ให้ดูให้ฟังจากคำพูดที่ออกจากปากของคนเหล่านี้ มักจะมี Killing Word (คำพูดที่ทำร้ายคนฟัง) หรือคำพูดแย่ๆที่บั่นทอนความรู้สึกของคนฟัง บางคนพูดจนติดเป็นนิสัย โดยไม่รู้ตัว จนมองว่าเป็นพวกบ้าอำนาจ หลงกับสิ่งสมมุติที่เขาให้มา ต่อหน้าในที่ทำงาน อาจเห็นลูกน้องมีแต่พูดอวย ให้แต่คำเยินยอ สรรเสริญ ถึงขั้นประจบประแจง จนทำให้คนพวกนี้หลงในอำนาจตัวเอง คิดไปเองว่าลูกน้องที่เขาอยู่ด้วยยังรักและภักดีต่อเขาเสมอ หารู้ไม่ว่าตอนลับหลัง ในวงเหล้า หรือวงกินข้าวหลังเลิกงาน สิ่งที่เขาเคยทำ เคยพูด จะเป็นเรื่องแย่ๆที่ถูกนำมาพูดถึงในวงสนทนา พร้อมความคิดเชิงลบที่มีต่อสิ่งที่เขาทำ ในเวลาเดียวกันที่เขานั่งดูทีวีอยู่บ้านอย่างมีความสุข โดยไม่รู้ตัว สำหรับมนุษย์พวกนี้จะยากที่จะทำให้พวกเขากลับตัว ปรับความประพฤติ ปรับวิธีพูด ให้นึกถึงเรื่อง "พูดแล้วได้อะไร" เพราะความยึดติดกับตัวตนยังกดทับอยู่ จนมองไม่เห็นความผิด ไม่รู้ว่าผิด เข้ากฏที่ว่า"ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามพูดความจริงให้คนที่ไม่รู้สึกผิดได้สำนึก " ยกเว้นคนที่เคยมีประสบการณ์ มีบทเรียน จะมีความเข้าใจ รู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี ควรทำหรือไม่ควรทำต่อกันในที่ทำงาน มันคงจะดีถ้าทุกคนมีมุมมองว่า ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งไหน ก็เป็นเพียงเจ้าของบริษัทจ้างมาทำงาน ขึ้นอยู่กับความสามารถ ,ประสบการณ์ และผลงาน ที่ทำให้มีตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต่างกัน ทุกคนเป็นลูกจ้างบริษัทเหมือนกัน มารับจ้างทำงานเหมือนกัน ทุกคนจึงมีความสำคัญเท่ากัน ฟันเฟืองอาจเล็ก ใหญ่ แต่ก็เป็นกลไลขับเคลื่อนไปด้วยกัน แต่ก็ยังมีบางคนที่ทำตัวราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท ใช้อำนาจกับพนักงานจนลืมตัว ยังกะเอาเงินตัวเองมาจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน ทั้งๆที่ก็รับเงินเดือนค่าจ้างจากบริษัทเหมือนกัน
ส่วนคำพูดที่ว่า "ไม่พูดแล้วได้อะไร" บางคนก็สงสัยว่า มันคืออะไร ในเมื่อเราไม่พูด เราเงียบ แล้วมันจะได้อะไร ในยุคสมัยนี้ ถ้าไม่พูด ไม่มีปากมีเสียง ไม่เรียกร้อง ใครจะไปรู้ แล้วเราจะได้อะไร เคยไหม๊ที่มีบางครั้ง เรารู้สึกว่า ไม่พูดดีกว่าพูด ในเชิงจิตวิทยา หมายถึงการรู้จักเลือกที่จะเงียบ หรือไม่พูดในบางสถานการณ์ แทนที่จะพูดในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่สร้างสรรค์ การไม่พูดในบางครั้งอาจดีกว่าพูดออกไปแล้วสร้างความปัญหาหรือความขัดแย้ง หรือไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาหรือความขัดแย้งได้ แต่ต้องระวังด้วยว่า การใช้ความเงียบเพื่อรับมือกับความขัดแย้งนั้น หาใช่การควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างที่คนมีวุฒิภาวะควรกระทำ แต่ในทางกลับกัน ความเงียบนี้ กลับกลายเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมฝ่ายตรงข้ามให้ยอมทำอย่างใจเราต่างหาก ซึ่งความเงียบในลักษณะนี้ทางจิตวิทยาเรียกว่า " Silent Treatment" คือ พฤติกรรมการ "เงียบใส่" หรือ "เมินเฉย" ต่อบุคคลอื่นในความสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เช่น การลงโทษ การแสดงความไม่พอใจโดยอ้อม การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หรือแม้กระทั่งการควบคุมอีกฝ่าย ซึ่งการกระทำเช่นนี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกสับสน เครียด โดดเดี่ยว และไม่มีคุณค่า จนอาจทำลายความไว้วางใจและความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้ อาจเข้าข่ายเป็นความสัมพันธ์เป็นพิษ (Toxic Relationship) .... ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกล กลับมาเข้าเรื่อง การไม่พูดแล้วได้อะไร ในที่นี้ผมแค่อยากบอกว่า ให้ตั้งสติคิดก่อนที่จะพูดเสมอว่า เรากำลังจะพูดเรื่องอะไร เมื่อพูดไปแล้วได้อะไร และให้คิดต่ออีกว่า แล้วถ้าไม่พูดในเรื่องเดียวกันล่ะ เราจะได้อะไร เสียอะไร แล้วนำความคิด ว่าจะพูด มาเทียบกับ การไม่พูด ฝึกใช้สติในการชั่งน้ำหนักก่อนที่จะพูด เพื่อเลือกทำให้สิ่งที่ดีกว่า ซึ่งในช่วงแรกๆอาจต้องใช้เวลาคิดนานไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าใช้เวลาคิดนานจนถูกมองว่า เป็นคนคิดช้า อาจสร้างความหงุดหงิด เป็นภาพจำต่อคู่สนทนา มองว่าไม่ฉลาด พูดไม่เก่ง เมื่อฝึกปฏิบัติบ่อยๆ ระบบความคิดของเราจะปรับเป็นอัตโนมัติเอง ยกตัวอย่างเช่น เราก็รู้ว่ามีสองทีมที่เราต้องอาศัยให้พวกเขาทำงานให้ และทราบว่าหัวหน้าทีมทั้งสองมีปัญหาขัดแย้ง ผิดใจกัน ไม่ลงรอยกัน แอบแทงข้างหลังกันตลอดเวลา ถึงเวลาที่ต้องติดต่อประสานงานกับทั้งสองทีม เพื่อให้งานเสร็จสิ้นไปด้วยดี เวลาประชุมกันกับทีมที่หนึ่ง เราย่อมจะไม่พูดเรื่องข้อบกพร่องของทีมที่สอง เช่นเดียวกัน เวลาติดต่องานกับทีมที่สอง เราก็จะไม่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความผิดที่เกิดจากทีมที่หนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการผสมโรง และป้องกันไม่ให้แต่ละทีมมองว่า ไม่จริงใจ หลับหลังเอามานินทา ใส่ร้ายกัน (หน้าต่างมีหู ประตูมีตา) ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีต่อเราเลย และอาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของงาน หรือในกรณีเกิดความขัดแย้ง ทะเลาะ เบาะแว้ง มีปากเสียงกันในที่ทำงาน บางกรณีก็ไม่ควรที่จะรีบออกตัวไปแทรก หรือไปพูดใดๆที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเรา สู้เงียบๆปล่อยให้ความขัดแย้ง ถูกแก้ไขกันเอง เข้าภาษิตที่ว่า "นั่งอยู่บนภู ดูเสือกัดกัน" น่าจะดีกว่า เพราะหากเอาตัวเข้าไปร่วมวงปัญหา อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และกลายเป็นปัญหาในที่สุด
คำพูดที่ดี มาจากความคิดของผู้พูดที่มีสติและมีความดีงามของจิตใจ คำพูดมีอิทธิพลต่อผู้คน เป็นได้ทั้งสร้างสรรค์ และทำลาย การรู้จักที่จะพูดในทางที่ดีย่อมสร้างผลลัพธ์ที่ดี เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้พูดและผู้ฟัง จึงจำเป็นที่ต้องคิดก่อนที่จะพูดทุกครั้ง การพูดโดยไม่คิด อาจสร้างผลเสียต่อผู้พูด และการเลือกที่จะเงียบ หรือไม่พูดในเวลาที่ควรพูด ก็อาจสร้างผลเสียได้เช่นกัน ทั้งหมดอยู่ที่กระบวนการจัดการความคิดในการพูด และวิธีการพูดให้เป็น หรือรู้จักที่จะพูด อย่าลืมว่า ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด แต่หลังจากพูดออกจากปากไปแล้ว คำพูดกลายเป็นนายของเราทันที และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
" ฝึกให้ตัวเอง เป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า
ถ้าอะไรไม่ดี ก็อย่าไปพูดมาก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด
แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูดหรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น
มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำและขุ่นมัว .. "
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พ่อหมูตู้